เหตุระทึกและสับสนกลับไปมาของ ‘Game Changing’ ช่วงสองวันมานี้ ที่แม้จะดูเหมือนยังไม่สุด แต่คนส่วนใหญ่ก็มองว่า คสช. ชนะทักษิณขาด
จนต้องมีโพสต์ ‘Life must go on.’ ตามมา และ “กระแสข่าวยุบพรรคไทยรักษาชาติมาแรงมาก”
จนทำให้หลายคนมองข้ามการก้าวสวบอย่างต่อเนื่องของเผด็จการทหาร
ในคราบใหม่แห่ง ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข’ ประการหนึ่งหลัดๆ เมื่อ ๗ กุมภาพันธ์นี่เอง ที่ สนช.
สภาลิ่วล้อเร่งมือผ่านกฎหมายอำนวยความ ‘มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน’ ให้แก่ คสช.
๑๔๒ เสียงไม่มีค้าน เพียง ๒ คนงดออกเสียง กฎหมายให้
ทหาร-ตำรวจตำแหน่งนายพล มีสิทธิเทียบเท่าอธิบดี ก็ผ่านฉลุย ด้วยข้ออ้าง “เพราะข้าราชการทหารและตำรวจเป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์แต่งตั้ง
อีกทั้งเป็นตำแหน่งประเภทบริหารตามกฎหมายระเบียบราชการทหาร”
‘ไอลอว์’ รายงานว่า “ผู้ที่มาแสดงความคิดเห็นร้อยละ
๙๗ ไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของกฎหมาย
เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นการให้ทหารเข้าแฝงตัวเข้ามาก้าวก่ายองค์กรอิสระ
ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย และถ้าให้พลตรีเทียบเท่าอธิบดีได้ เท่ากับกองทัพมีอธิบดีนับพันคน”
แม้จะอ้างด้วยว่า “คือการเปิดทางให้ ‘ข้าราชการทหาร’ ชั้นยศ
พลตรี-พลอากาศตรี-พลเรือตรี ซึ่งบริหาร/เคยบริหารราชการแผ่นดิน ‘ระดับหัวหน้าส่วนราชการในกระทรวง’ กลาโหม
ให้ถือว่ามีตำแหน่งเทียบเท่า ‘ข้าราชการพลเรือน’ ซึ่งเป็น/เคยเป็นอธิบดีกรม” นั่น
ระดับอธิบดีควรที่จะมีวุฒิและผลการปฏิบัติงานมากกว่านายพลทหาร-ตำรวจทั่วๆ
ไป อย่างดีควรจะเทียบได้แค่ผู้อำนวยการกอง ต่อนี้ไปประเทศไทยจะไม่เพียงมีนายพลมากที่สุดในโลกแล้ว
ยังจะมีจำนวนอธิบดีติดกินเนสด้วย
ในวันเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีช่วยคมนาคมของรัฐบาล
คสช. (รอเป็นรัฐบาลใหม่) แจ้งว่าบริษัทรถไฟฟ้า รฟท. กำลังดำเนินการขายทรัพย์สิน “เช่น
ตัวรถไฟ อาคารสถานีและศูนย์ซ่อมบำรุง รวมมูลค่า ๕ หมื่นล้านบาท ให้บริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง
และพันธมิตร”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร
คาดว่าการผ่องถ่ายขายทิ้งครั้งนี้จะใช้เวลาราว ๑-๒ ปีจึงแล้วเสร็จ “เอกชนจะเข้ามาบริหารเต็มตัว”
ขณะที่ทาง รฟท.ขอยกเลิกการจัดตั้งบริษัทลูกด้านการเดินรถ
ที่เคยกำหนดทุนจดทะเบียนไว้ที่ ๓ พันล้านบาทด้วย
นอกจากนั้น นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม แถมเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง
๓ ช่วง คือ ตลิ่งชัน-ศาลายา ตลิ่งชัน-ศิริราช และส่วนต่อขยาย รังสิต-ธรรมศาสตร์
ว่าเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติรวบรัดเปิดประมูลให้เสร็จในรัฐบาลชุดนี้
อันเป็นที่น่าจับตาโครงการที่มีวงเงินลงทุน ๑๐,๒๐๐ ล้าน
๗,๔๖๐ ล้าน และ ๖,๕๗๐ ล้านบาทตามลำดับนี้ ว่า ‘เจ้าสัว’ รายไหนจะได้ปลามันไปกินกันอีก