นอกจากถ่อยแล้วยังพล่อยอีกต่างหาก นายกฯ
จากการยึดอำนาจที่ปากบอกไม่อยากเป็นอีกหลังเลือกตั้ง แต่แบ่งรับไว้แล้วละ ชอบพูดยืดเยื้อเยิ่นเย้อ
ชักแม่น้ำทั้งห้ายกยอตนเอง เพียงแค่จะตอบว่าวันที่ ๘ กุมภาได้รู้กัน
นักข่าวถามถึงเรื่องพรรคพลังประชารัฐที่ให้สี่รัฐมนตรีเอาเทียบมาเชิญ
แล้วตนดันหลุดปากติว่าโผรายชื่อ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่สวย “ไม่ต้องการให้มีนักการเมืองอยู่ในรายชื่อลำดับต้นๆ
โดยเฉพาะในรายที่ยังมีคดีติดตัวอยู่”
ซึ่งข่าวไทยรัฐระบุว่าเป็น “นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ที่เป็นอดีตแกนนำกลุ่ม กปปส.
มีคดีถูกกล่าวหาร่วมกันเป็นกบฏ ยุยงปลุกปั่น” กับ “นายวิรัช รัตนเศรษฐ
กรรมการสรรหาผู้สมัคร พปชร. มีคดีอยู่ใน ป.ป.ช.
ถูกแจ้งข้อกล่าวหาทุจริตการก่อสร้างสนามฟุตซอล”
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบว่า “เรื่องรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ผมยังไม่เห็น
ก็แล้วแต่พรรคเขาทำไม่เกี่ยวกับผม เพราะผมยังไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองเลย”
ส่วนเรื่องนโยบาย “กำลังดูอยู่ นำนโยบายมาศึกษาก็อ่านไปได้เยอะแล้วหลายๆ
อย่างก็ทำกันแล้ว
ส่วนเขาจะทำให้ดีต่อไปอย่างไรก็ไปดูอีกครั้ง
ก็ต้องถามเขาอีกทีว่าจะทำอย่างไร” ขนาดไม่ยุ่งไม่เกี่ยว ขยับเข้าไปอีกนิดแล้วไหมล่ะ
พร้อมกับโฆษณาหาเสียงเสร็จสรรพ “เราต้องคิดถึงเรื่องการปฏิรูปเรื่องการเมือง
การปรองดองสมานฉันท์...” บลา บลา
เติมให้อีก “วันนี้ตนใช้รัฐศาสตร์นำนิติศาสตร์ทุกอย่าง” แต่
“เราเอากฎหมายมาเป็นตัวตั้ง แต่เราก็ต้องพิจารณาหาทางออก...ไม่ใช่เขียนกฎหมายฉบับนี้แล้วจะให้เป็นประวัติศาสตร์ไปเลยคงไม่ใช่
กฎหมายทุกตัวต้องพัฒนาให้ดีขึ้น” บลา บลา บลา
“ขอให้เวลาตนบ้างเพราะตนก็ทำงานอย่างอื่นอยู่ตลอดเวลา
ไม่ได้สนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะเมื่อไหร่” อวดตน ยกตัว นั่นละ “สมมติถ้าตนตอบรับให้พรรคเสนอชื่อ
แล้วเป็นนายกฯ ขึ้นมา...ก็จะทำให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
อะไรที่ไม่ดีก็ขอร้องว่าอย่าทำกันอีกเลย ต้องสอนคนแบบนี้”
แล้วความผิดฐานล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ ล้มล้างอำนาจบริหาร
กระทำการดั่งอั้งยี่ มาตรา ๑๑๓ ที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตล่ะ
ดีหรือไม่ดี
ตอนนี้พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาฯ นายกฯ โฆษกรัฐบาลก็ลาออกไปทำการเมืองเต็มที่ในว่าที่
ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ ๓ ของพรรคพลังประชารัฐแล้ว คงหมายความว่าข้อหากบฏ
ข้อหาอั้งยี่ นี่เป็นเลขาฯ นายกฯ ได้ เป็นนายกฯ ก็ได้
กับที่โดนฟ้องร้อง ศาลปกครองมีคำสั่งให้ไปชี้แจง
ปรากฏตัวต่อศาลเพื่อฟังการไต่สวน ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์นี้ล่ะ ดีหรือไม่ดี
โดยเฉพาะที่ข้อหา “ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด” ไม่ทำตามที่
พรบ.สิ่งแวดล้อม และ พรบ.สาธารณะสุขกำหนด
การนี้นายศรีสุวรรณ จรรยา ในฐานะนายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
ยื่นฟ้องไว้เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา จากการที่นายกรัฐมนตรี ผู้ว่า กทม.
และกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ไม่ดำเนินการ “ควบคุมอันตรายจากการแพร่กระจายของฝุ่นละออง PM2.5
เป็นเหตุให้โรงเรียนต้องหยุดเรียน
องค์กรภาคธุรกิจเอกชนต้องหยุดการทำงานเพื่อหลีกหนีมลพิษ
ทำให้ประชาชนจำนวนมากเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ นักท่องเที่ยวหนีหาย
เศรษฐกิจของประเทศต้องเสียหายเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท”
ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมทำนองนี้ของรัฐบาล คสช.
ที่ทำเป็นนิจสิน ก่อผลให้ “การส่งออก
(ของประเทศ) ตลอดทั้งปี
๒๕๖๑ โตได้เพียง ๖.๗% จากเป้าหมายเดิมโต ๘%” จำเพาะเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ๖๑ ติดลบต่อเนื่อง
ที่ ๐.๙๕% และ ๑.๗๑% ตามลำดับ
ปฏิกิริยาในทางยี้รายหนึ่งมาจากประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่า “การส่งออกไทยปีที่ผ่านมาถือว่าผิดคาดพอสมควร
เดิมภาคเอกชนโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน...ประเมินว่าจะขยายตัว ๗-๙% แต่ตัวเลขจริงออกมาเพียง ๖.๗%”
นายสุพันธุ์
มงคลสุธี ชี้ด้วยว่าปีนี้ กกร.คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวแค่ ๕-๗% ไม่น่าถึง ๘% ตามที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายไว้ ก็ขนาด
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กูรูเศรษฐกิจ คสช. ว่าที่นายกฯ อันดับ ๓ ของพลังประชารัฐ
ยังรับว่า
“เป็นการมองในแง่ดี ก็ต้องทำงานให้เต็มที่”
เอาเวลาที่ไหนทำ อีกเดือนกว่าๆ จะเลือกตั้ง หรือว่ามั่นใจจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกแน่ๆ
ถ้าแน่แบบที่ เจมส์ อ็อคกี้ รองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแคนเตอร์เบอรี่
เขียนไว้ในวารสาร ‘อีสเอเซียฟอรัม’
(https://www.channelnewsasia.com/news/commentary/thailand-election-general-prayut-chan-o-cha-prime-minister-11180408 และ
https://www.matichonweekly.com/column/article_167056)
คือต้องมี ‘คิงเมคเกอร์’ พรรคหลักอีกพรรค
(เขาเอ่ยชื่อพรรคประชาธิปัตย์ด้วยละ) เข้ามาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ
แต่การเป็นรัฐบาลผสมเยี่ยงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ควรมีทักษะชุดใหม่ที่ไม่เหมือนเก่า
(ไม่ใช่ ‘เยิ่นเย้อ’ หรือ สถุล ฉุนเก่ง
ปรี๊ดแตกบ่อย ว่างั้นเถอะ