คสช.คนนี้ไม่เคยจืด เรื่องเงินทอง ของกำนัลจากเพื่อน
ตอนนาฬิกาหรู ๒๕ เรือน เพื่อนให้ยืมลืมคืนจนล้มหายตายจากกันไป
คราวนี้มาใหม่เงินสดสองประเป๋าเดินทาง ๓๒ ล้านบาท ได้จากเพื่อนเหมือนกัน
เรี่ยไรมาแต่สมัยเด็ก
พล.อ.ประวิตร
วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมของ คสช. ตกที่นั่ง ร่ำรวยเพราะเพื่อน
อยู่ร่ำไป เมื่อ ๓ พฤศจิกา ทั่นไปทอดกฐินที่ ต.โคกสว่าง อ.ปลาปาก จ.นครพนม
มีพวกบิ๊กๆ ทั้งทหาร ตำรวจ ไปร่วมกันคับคั่ง รวมทั้งประชาชนราว ๕ พันคน
“พล.อ.ประวิตร ได้ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ พร้อมมอบปัจจัยยอดกฐินจำนวน ๓๒,๑๘๕,๒๙๕ บาท
ถวายวัดเพื่อสมทบทุนในการสร้างพระมหาเจดีย์ฯ” ซึ่งถ้าดูตามมาตรฐานบารมีพี่ใหญ่
คสช. แล้วน่าจะธรรมดา
เพราะ พล.อ.ประวิตร
เคยมาทอดกฐินที่นี่แล้วหลายครั้ง ครั้งแรกในปี ๒๕๕๗ ได้จตุปัจจัยบริจาค ๘๒ ล้านบาท
ไว้ทำการก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีรกธาตุและอัฐิหลวงปู่คำพันธ์
เกจิอาจารย์ของบิ๊กป้อม ตอนนั้นหนังสือพิมพ์ยังไม่วุ้ยว้ายอะไรกัน น่าจะเพราะเป็นช่วง
คสช.ยึดอำนาจใหม่ๆ
พอปี ๖๐ ก็มีทอดกฐินอีกครั้ง เงินถวายวัด ๖๒
ล้านบาท ไม่มีกะโตกกะตากเช่นเดียวกับตอนไปยกยอดฉัตรอีก ๒๓ ล้าน เมื่อ
ต.ค.ปีที่ผ่านมา แต่ที่เตะตาสื่อจังงังในตอนนี้ก็คือ เงินจำนวน ๓๒ ล้านครั้งนี้เป็นธนบัตรสดๆ
ใส่มาในกระเป๋าลาก ๒ ใบ
ในฐานะที่เป็นตำบลกระสุนตกของ คสช.
(ก็คงเพราะแกโฉ่งฉ่างเรื่องทรัพย์สินเงินทองของเพื่อน เรื่องหะรูหะรา
นั่งชั้นหนึ่งบินไทยกินไข่คาเวียร์ และเรื่องความเป็น ‘โสด’ สวิงสูงวัยของทั่น) การลากเงินสดสองกระเป๋าไปทอดกฐิน
จึงเป็นข้อครหาที่ไม่เป็นข่าว
ทั่นรองฯ ฝ่ายความมั่นคงก็แสนจะหูดี
รีบแก้ตัวทันทีเรื่องยอดเงินทำบุญที่วัดโฆสมังคลาราม ๓๒ ล้าน ว่า “เงินทั้งหมดเป็นการเรี่ยไร่กันมากับเพื่อนสมัยเด็ก
ไม่ได้เป็นของตัวเองทั้งหมด ซึ่งตนเองควักเงินทำบุญเพียงแค่ ๓,๐๐๐ บาทเท่านั้น”
(https://www.voicetv.co.th/read/S1W7EkJ67 และ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1774988)
ทั่นมีข้อแก้ตัวของทั่น ก็ว่าไป จะฟังขึ้นไม่ขึ้นดูเหมือนจะไม่มีการรับฟังจากทางการ
ถ้าไม่ใช่กระทำที่เกี่ยวโยงถึงทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และ ‘ชินวัตร’ เหมือนเรื่องปฏิทิน Happy New Year
2019 ที่มีรูปสองพี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรียืนคู่กัน
เมื่อวาน (๖ พ.ย.) กำลังทหาร มทบ.๒๒
สนธิกำลังกับฝ่ายปกครองอำเภอวารินชำราบ อุบลฯ บุกไปค้นร้านอุดมแอร์
พบปฏิทินดังกล่าวจำนวน ๙ กล่อง รวมแล้วจำนวน ๕,๕๕๓ ใบ จึงได้ ‘ยึด’ เอาไว้ และนำตัวบุตรชายเจ้าของร้านไปให้ปากคำ และ “สอบสวนหาแหล่งที่มาของปฏิทิน
โดยยังไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ”
อ้างว่า “เพื่อต้องการระงับยับยั้งการแพร่กระจายของเอกสารที่เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยในประเทศ
เพราะคนทั้งคู่เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีของศาล”
ทั้งที่พล.ต.อ.ศรีวราห์
รังสิพราหมณกุล ให้ความเห็นว่า “ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคง” และ “การแจกแบบนี้ก็มีมาก่อนแล้ว...แต่ยืนยันว่าสองคนน่ะ
อดีตนายกฯ สองท่านเขาไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักร เขาจะมาทำแจกมันคงเป็นไปไม่ได้”
ต่างกับกรณีนายประจักษ์ มูลรัตน์ สจ. ร้อยเอ็ดแจกแผ่นพับแนะนำตัวในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐ
ที่แม้จะไม่ผิด พรบ.ความมั่นคงฯ แต่ก็อาจจะผิดคำสั่ง คสช. ที่ยังไม่ยอมปลดล็อคพรรคการเมืองหาเสียง
เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูว่าหากเจ้าหน้าที่เสาะรู้ว่าใครทำปฏิทิน
๕ พันใบแล้วจะมีการดำเนินคดีในข้อหาใดหรือไม่ ในเมื่อถ้ามี
ข้อหาความมั่นคงหลุดไปแล้วตามความเห็นของศรีวราห์ แต่ถ้าโดนข้อหาขัดคำสั่ง คสช. แล้ว สจ.ร้อยเอ็ดล่ะ โดนด้วยไหม