วันจันทร์, พฤศจิกายน 14, 2565

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กับ 10 ปี แห่งการผลักดันแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ "ไม่เสียใจแม้แต่วินาทีเดียว ที่ทำเรื่องแก้ไข ม.112"



ม.112 : วรเจตน์ ภาคีรัตน์ กับ 10 ปี แห่งการผลักดันแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

ศ. ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อดีตแกนนำคณะนิติราษฎร์เผย "ไม่เสียใจ" แม้ การขับเคลื่อนให้แก้ไข ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ ม.112 ในระยะเวลา 10 ปียังไม่สำเร็จ เรียกร้องให้สังคมผลักดันต่อไป แม้ยังมีข้อจำกัดจากโครงสร้างทางสังคมบางส่วนที่ยังไม่เปิดรับ

เมื่อ 15 ม.ค. 2555 ศ.ดร. วรเจตน์ เปิดตัวคณะรณรงค์แก้ไขเพิ่มเติม ม.112 หรือ ครก.112 ที่ห้องประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผ่านไปกว่า 10 ปี อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. ผู้นี้ กล่าวเปิดใจในเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และผลกระทบต่อชีวิตตลอดการขับเคลื่อนเรื่องนี้ เมื่อ 13 พ.ย. ในหัวข้อ "112 กับ สถาบันกษัตริย์ : 1 ทศวรรษเพื่อการทบทวน" ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิสิทธิอิสรา ที่วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มธ. ท่าพระจันทร์

"ในแง่ของการเป็น ครก.112 แม้ว่ามีผลกระทบหลายอย่างเกิดขึ้นกับตัวผมและชีวิตผม แต่ว่าไม่เคยเสียใจ และผมก็รู้สึกว่า ผมได้ทำให้สิ่งที่ควรจะทำ และก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง อยากจะบอกสั้น ๆ แค่นี้ว่า ไม่เคยมีความเสียใจแม้แต่วินาทีเดียวที่ทำเรื่องนี้ แม้ว่าจะมีคนประณามว่าเป็นคนเนรคุณก็ตาม"

เสียงปรบมือของผู้ร่วมงานดังขึ้นทันที หลังจากนักวิชาการรายนี้ตอบคำถามจากผู้ฟังในห้องบรรยายที่ถามว่า "รู้สึกเสียใจหรือไม่ที่เป็นผู้ริเริ่มการรณรงค์การแก้ไขกฎหมายนี้"

เขาบอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดหน้าขับเคลื่อนเรื่องนี้เขาได้รับจดหมายหรือข้อความ ทั้งสนับสนุนแนวความคิด คัดค้านต่อต้านและคำถามมากมายทั้งทางไปรษณีย์ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการงานและชีวิตส่วนตัวด้วย และในกิจกรรมวันนี้เขาไปได้แบ่งบันข้อความบางส่วนแก่ผู้จัดงานให้จัดแสดงภายนอกห้องบรรยายด้วย

ทำไมเราไม่ทำเรื่องนี้ให้ตรงไปตรงมา

นักวิชาการรายนี้ย้อนเล่าถึงบรรยากาศและเหตุผลที่ตัดสินใจเข้ามารณรงค์การแก้ไข ม.112 เมื่อ 10 ปีที่แล้วว่า นี่เป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำ


ศ.ดร. วรเจตน์ ภาครัตน์

"หลายคนก็บอกว่า มาตรา 112 ก็มีมานานแล้ว มันก็อยู่ของมันดี ๆ ไปยุ่ง ไปแก้ไขมันทำไม หลายคนบอกว่าผมไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องนี้เลย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผมหลายด้านทั้งด้านส่วนตัวและด้านการงานต่อไป"

เขามองว่าหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 มีการดำเนินคดี ม.112 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาทำให้มองผ่านเรื่องนี้ไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะมีคนตั้งคำถามถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น และความเกี่ยวข้องกับการเกิดรัฐประหารในครั้งนั้น ซึ่งความจริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครทราบ แต่มีความสงสัยในหมู่ประชาชนกลุ่มหนึ่ง

สิ่งนี้ได้นำไปสู่การตั้งคำถามและการแสดงออกทางความคิดของประชาชนจนถึงถูกดำเนินคดี ทั้ง ๆ เป็นสิ่งที่เขาควรแสดงความคิดเห็นได้ แต่กลับมีบทลงโทษรุนแรงคือ จำคุก 3-15 ปี



"ถ้ามีเรื่องแบบนี้ ทำไมเราไม่ทำเรื่องนี้ให้ตรงไปตรงมา โดยทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นสาธารณะอย่างเปิดเผยและจริงใจ และก็มีการให้เข้าชื่อกันเพื่อแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ โดยนิติราษฏร์เป็นผู้ช่วยยกร่างกฎหมายให้ เพื่อให้ออกสู่สาธารณะเพื่อให้มีการถกเถียงกันเพื่อให้สามารถแก้กฎหมายที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนั้น"

ข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ 7 ประการ ในขณะนั้น ประกอบด้วย
  • ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร
  • เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
  • แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
  • กำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุด
  • เพิ่มเหตุยกเว้นความผิดกรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
  • เพิ่มเหตุยกเว้นโทษกรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
  • กำหนดให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษ เท่านั้น
ข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นยังคงไม่ไปไหน แม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 10 ปีแล้ว นักวิชาการรายนี้กล่าวว่าโดยภาพรวม ข้อเสนอดังกล่าวสามารถใช้ได้ในปัจจุบัน

"คนเนรคุณ"

อย่างไรก็ตาม ก็มีปฏิกิริยาต่อต้านต่อข้อเสนอดังกล่าวไม่น้อย หลายภาคส่วนเห็นว่าโจมตีข้อเสนอของนิติราษฎร์เป็นจำนวนมากโดยอาจจะขาดการไต่ตรองและทำความเข้าใจข้อเสนอดังกล่าว หลายกลุ่มมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวว่าเป็นขบวนการล้มเจ้า ความเข้าใจผิดบางส่วนยังเกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน เช่น บางส่วนมีการแก้กฎหมาย ม. 112 ไม่เคยมีการแก้ไขเลย แต่ในความเป็นจริง กฎหมายดังกล่าวถูกเปลี่ยนแปลงหลังการรัฐประหาร


กิจกรรมวันนี้มีการจัดแสดงข้อความบางส่วนที่ ศ.ดร. วรเจตน์ได้รับทั้งเป็นข้อความเห็นด้วย หรือคัดค้าน รวมทั้งให้กำลังใจในการขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไข ม.112 ด้านนอกห้องบรรยาย

นอกจากนี้เขายังได้ถูกตราหน้าว่าเป็น "คนเนรคุณ" เพราะเขาเป็นนักเรียนทุนอานันทมหิดลที่ไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนี

"ถ้าผมเรียนกฎหมายโดยทุนนี้ ผมกลับมาแล้วเห็นว่าตัวบทกฎเกณฑ์บางอย่างไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมที่ควรจะเป็น แล้วผมเสนอแก้ไขกลับไปในสิ่งที่ควรจะเป็น เป็นประโยชน์ทั้งในแง่ความเป็นอารยะในระบบกฎหมายในบ้านเราที่มีต่อสากลโลก เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ " เขาตอบคำถามต่อข้อสงสัยที่ว่าเขาเป็นคนเนรคุณ

นอกจากนี้ เขายังชี้แจงว่า การขับเคลื่อนเรื่องนี้ไม่การรับเงินทุนจากที่ใดมา ซึ่งที่ผ่านมาสามารถตรวจสอบได้

บทเรียนสำหรับนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่

จากประสบการณ์การขับเคลื่อนผ่านการบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำงานด้านความคิดของ ศ.ดร. วรเจตน์ ทำให้มีข้อเสนอแนะและบทเรียนบางอย่างต่อนักเคลื่อนไหวในปัจจุบันในเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ผ่านการเรียกร้องการแก้ไข หรือ ยกเลิก ม. 112

"ต้องไม่ลืมนะครับว่า กฏเกณฑ์ มาตรา 112 ยังไม่ถูกแก้ ยังมีกฎเกณฑ์ที่เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อยู่จริง ๆ ในบ้านเมืองเวลานี้ ...ต้องมีการใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ผมเข้าใจในแง่เยาวชนรุ่นใหม่ที่มีการเคลื่อนไหว ถูกกดทับจากผู้ที่มีอำนาจรัฐ แต่ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นการต่อสู้เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นระยะยาวอย่างยิ่ง"


ในการชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม "ราษฎร" เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2564 ได้ชูข้อเสนอยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112

"มันเป็นเรื่องที่เราต้องทำใจว่ามันอาจจะไม่จบในเจเนเรชัน (รุ่น) เดียว ต้องส่งผ่านสิ่งนี้ไป ต่อไปในหลายเจเนเรชัน เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งจุดไฟขึ้นมาแล้ว ก็พยายามต่อไปไม่ให้ไฟดับ ไม่ต้องคาดหวังให้มันต้องเสร็จหรือยึดติดในรุ่นของเรา สภาพของสังคมต้องการความพร้อมของคนจำนวนมาก มากกว่านี้เยอะ 10 ปีมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงแต่ยังมีปริมาณไม่มากพอ"

นอกจากนี้ นักวิชาการรายนี้ แนะนำว่า อยากให้คนรุ่นให้มีความสุขุมรอบคอบมากขึ้น และทำใจว่าต้องมีการบาดเจ็บและถูกกล่าวหาต่าง ๆ แต่ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ในการต่อสู้ได้

ต่อสู้ระยะยาวต้องมีทุนและการเยียวยา

อดีตแกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ที่ต่อสู้เรื่องนี้มาเป็นระยะเวลานานมองว่าองคาพยพที่สำคัญในการขับเคลื่อนนี้คือ แรงผลักดันจากฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องเป็นด่านหน้าและการนำเพื่อการปรับเปลี่ยนกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรเป็นพื้นที่ที่สามารถพูดคุยได้ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวโยงถึงกันกับผลประโยชน์สาธารณะ

ส่วนระหว่างทาง การขับเคลื่อนภาคประชาชนย่อมมีผู้บาดเจ็บและผู้ได้รับผลกระทบและได้รับความเดือดร้อน อย่างเช่น การที่ผู้ต้องหาคดีนี้จะต้องมีสิทธิในต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะผู้ต้องหาคดี ม. 112 นั้นจึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง มูลนิธิสิทธิอิสรา เพื่อการช่วยเหลือผู้ต้องหาคดี ม. 112

น.ส. ไอดา อรุณวงศ์ ประธานมูลนิธิสิทธิอิสรา บอกบีบีซีไทยว่า ปัจจุบัน กองทุนดังกล่าวมีเงินทุนหมุนเวียนราว 50 ล้านบาท เป็นเงินที่จะช่วยเหลือและเยียวยากลุ่มผู้ต่อสู้ในคดี ม. 112 นับตั้งแต่ต้นทางจนถึงเรือนจำ โดยมูลนิธิดังกล่าวเกิดขึ้นจาก 'กองทุนราษฎรประสงค์' ซึ่งได้แจ้งปิดบัญชีบริจาคเดิมในนามบุคคลไปแล้ว และได้เปิดบัญชีบริจาคใหม่ในนาม 'มูลนิธิสิทธิอิสรา'

ทั้งนี้ ศ.ดร. วรเจตน์ ยังเรียกร้องให้พรรคการเมืองสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านเงินทุนผ่านมูลนิธินี้