วันอาทิตย์, กันยายน 05, 2564

ถ้าชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์ยอมให้ระบบเลือกตั้งกลับมาเป็นแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ก็หมายความว่าทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นศัตรูหมายเลข 1 ของชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์อีกต่อไป เพราะมีศัตรูคนใหม่ที่ต้องกำจัด...


Thanapol Eawsakul
6h ·

ถ้าระบบเลือกตั้งกลับมาเป็นแบบรัฐธรรมนูญ 2540 (เขต 400 -แบบเขตเดียวคนเดียว- /ปาร์ตี้ลิสต์ 100 -ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง-) ก็หมายความว่าทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นศัตรูหมายเลข 1 ของชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์อีกต่อไป
.................
"ถ้าเราแพ้ ทักษิณจะกลับมา และถ้าทักษิณกลับมา สถาบันกษัตริย์ก็จะอยู่ไม่ได้"
ข้างต้นคือบทสนทนาของสิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี กับ อีริค จี. จอห์น เอก อัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2551 จากเอกสารวิกิลีกส์ 08BANGKOK2619 หรือภายหลังจากที่ทักษิณ ออกจากเมืองไทย 31 กรกฎาคม 2551 แล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย
ขณะเดียวกันทักษิณ ชินวัตรก็รู้ดีว่าตัวเองกลายเป็นที่รังเกียจของ ชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเลือกตั้ง 6 กุมภาพันธ์ 2548 ที่พรรคไทยรักไทยชนะอย่างท่วมท้น ระบบเขต 310 จาก 400 ระบบัญชีรายชื่อ 67 จาก 100 ที่นั่ง คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 18,993,073 หรือคิดเป็น 61.17% ของผู้มาลงคะแนนเลือกตั้ง
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
อย่างที่ทราบคือหลังรัฐประหาร 2549 คณะรัฐประหารมีแผนบันได 4 ขั้นเพื่อกำจัดทักษิณออกจากการเมืองไทย จากปากของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ประกอบด้วย
ขั้นที่ 1 การยุบพรรค(ไทยรักไทย) จะต้องเกิดขึ้น
ขั้นที่ 2 คดีที่ผิดทางอาญาเรื่องการทุจริต การโกงกินการคอร์รัปชันกำลังจะปรากฏในสังคม
ขั้นที่ 3 พรรคจะเริ่มแตกและสมาชิกพรรคจะเริ่มวิ่งกระจัดกระจาย จนในที่สุดก็สิ้นสุดลง
ขั้นที่ 4 เรื่องคดีต่างๆ จะสิ้นสุดและนำไปสู่การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและมีการเลือกตั้ง
“สนธิ” ปัดแผนบันได 4 ขั้นล้างเผ่าพันธุ์ ทรท.
https://mgronline.com/politics/detail/9500000073805
อย่างที่ทราบทุกอย่างเป็นไปตามแผนหมด
เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบ และตัดสิทธิกรรมการบริหาร 111 คนเป็นเวลา 5 ปี
มี ส.ส.แยกย้ายไปตั้งพรรคใหม่ที่ คณะรัฐประหารสนับสนุน โดยเฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมา
คตส.ที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น เป็นศาลเตี้ตัดสินว่าทักษิณทุจริตและนำไปสู่การยึดทรัพย์ในเวลาต่อมา
และการเขียนรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อลดความสำคัญของการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อวุฒิสภาที่เดิมมาจาการเลือกตั้งโดยตรง 200 คน ก็เปลี่ยนมา เลือกจังหวัดละ 1 คน 77 คน + ที่แต่งตั้งอีก 73 คน เพื่อให้ได้ครบ 150 คน และวุฒิที่มาจากการแต่งตั้งก็คือคนของคณะรัฐประหารที่เป็นปฏิปักษ์กับทักษิณนั่นเอง รวมทั้งการแก้ระบบเลือกตั้งจาก รัฐธรรมนูญ 2540 (เขต 400 -แบบเขตเดียวคนเดียว- /ปาร์ตี้ลิสต์ 100 –ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง)
เป็นระบบ เขต 400 คนจาก 76 จังหวัด แต่เปลี่ยนจากระบบเขตเดียวคนเดียวแต่เป็นระบบ แบ่งเขตเรียงเบอร์ เหมือนรัฐธรรมนูญก่อนปี 2540 ซึ่งทำให้เขตใหญ่ขึ้น แต่ฮั้วกันได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
ขณะเดียวกันระบบบัญชีรายชื่อที่เดิมประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง 100 คน ก็เปลี่ยนเป็น 8 เขตเลือกตั้ง และเขตหนึ่งมี 10 รายชื่อ (คนที่คิดสูตรนี้คือนครินทร์ เมฆไตรรัตน์) อันประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 มีจำนวน 11 จังหวัด ประชากรรวม 7,615,610 คน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, พะเยา, น่าน, ลำปาง, ลำพูน, แพร่, สุโขทัย, ตาก และกำแพงเพชร
กลุ่มที่ 2 มีจำนวน 9 จังหวัด ประชากรรวม 7,897,563 คน ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, พิจิตร, ชัยภูมิ, ขอนแก่น, ลพบุรี, นครสวรรค์ และอุทัยธานี
กลุ่มที่ 3 มีจำนวน 10 จังหวัด ประชากรรวม 7,959,163 คน ได้แก่ จังหวัดหนองคาย, อุดรธานี, เลย, นครพนม, สกลนคร, หนองบัวลำภู, กาฬสินธุ์, มุกดาหาร, มหาสารคาม และอำนาจเจริญ
กลุ่มที่ 4 มีจำนวน 6 จังหวัด ประชากรรวม 7,992,434 คน ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด, ยโสธร, อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และบุรีรัมย์
กลุ่มที่ 5 มีจำนวน 10 จังหวัด ประชากรรวม 7,818,710 คน ได้แก่ นครราชสีมา, นครนายก, ปราจีนบุรี, สระแก้ว, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด และปทุมธานี
กลุ่มที่ 6 มีจำนวน 3 จังหวัด ประชากรรวม 7,802,639 คน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี และสมุทรปราการ
กลุ่มที่ 7 มีจำนวน 15 จังหวัด ประชากรรวม 7,800,965 คน ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี, สุพรรณบุรี, นครปฐม, ราชบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, ระนอง, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา, สระบุรี, สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม
กลุ่มที่ 8 มีจำนวน 12 จังหวัด ประชากรรวม 7,941,622 คน ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี, พังงา, นครศรีธรรมราช, กระบี่, ภูเก็ต, ตรัง, พัทลุง, สตูล, สงขลา, ปัตตานี, นราธิวาส และยะลา
ระบบที่ออกแบบมาไม่มีเหตุผลอื่นคือ ตั้งใจให้มี ส.ส.เบี้ยหัวแตก และที่ไม่เอาประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง แต่แบ่งเป็น 8 เขต นั้นเพราะเชื่อว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครอ้าง 11 ล้านเสียง (เลือกตั้ง 44) 19 ล้านเสียง (เลือกตั้ง 48) เหมือนกันยทักษเคยอ้างอีกแล้ว
แต่ผลการเลือกตั้งไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อพรรคพลังประชาชน ที่กลายร่างจากพรรคไทนรักไทยได้ ส.ส.เขต 199 แบบปาร์ตี้ลิสต์ 34 คน (12,338,903 เสียง) 233 ที่นั่ง
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เขต 131 คน แบบปาร์ตี้ลิสต์ 33 คน (12,148,504 เสียง ) รวม 164 ที่นั่ง
ขณะที่พรรคสืบทอำนาจของ คณะรัฐประหาร
เพื่อแผ่นดิน เส.ส.เขต 17 ปาร์ตี้ลิสต์ 7 (1,596,500 เสียง) รวม 24 ที่นั่ง 5.00%
มัชฌิมาธิปไตย เส.ส.เขต 11 ปาร์ตี้ลิสต์ 0 (450,382 เสียง) รวม11 เสียง
ซึ่งเท่ากับว่าการรัฐปะรหาร 19 กันยา 2549 เสียของเพราะพรรคพลังประชาชนชนะะเลือกตั้ง และสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรี
ดังนั้นฝ่ายอำมาตย์จึงจ้องเอาสมัครลงจากตำแหน่งด้วยตุลาการภิวัตน์แทน ในเดือนกันยายน 2551 รวมทั้งสมชาย วงษ์สวัสดิ์ จากพรรคพลังประชาชนด้วย
และทั้งหมดจบลงด้วยการยึดสนามบินเพื่อสร้างความปั่นป่วนของม็อบมีเส้น และศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค พรรคพลังประชาชนไปแบบมั่ว ๆ เมื่อพรรคถูกยุบจึงเป็นที่มาจอง ปฏิบัติการ ย้ายขั้ว มาตั้งพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ และส่งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคเพื่อไทย นั้นนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตั้งรัฐบาลในปี 2544 ที่ต้องมาเป็นฝ่ายค้านในปี 2551
แต่รัฐธรรมนูญ 2550 ก็ถูกแก้อีกครั้งในระห่างรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดย ส.ส. ในสภา ให้กลับไปใกล้เคียงกับรัฐธรรมนูญ 2540 กล่าวคือ (เขต 350 -แบบเขตเดียวคนเดียว- /ปาร์ตี้ลิสต์ 150 -ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง-)
ซึ่งในเวลานั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็มั่นใจว่าตัวเองก็สามารถชนะเลือกตั้งได้ เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย เพราะจากการเลือกตั้ง 2550 คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ พลังประชาชน 12,338,903 ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ 12,148,504 เสียง ยังไม่รวมว่าเป็นพรรครัฐบาลสามรถระดมทรัพยากรได้มากกว่า
แต่ผลการเชือกตั้ง 2554 กลับตรงกันข้ามเมื่อ
เพื่อไทย ได้ ส.ส.เขต 204 ส.ส.ปาร์ตีลิสต์ 61 (15,752,470 เสียง) รวม 265 ที่นั่ง
ประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส.เขต 115 ส.ส.ปาร์ตีลิสต์ 44 (11,435,640 เสียง) รวม 159 ที่นั่ง
ส่งผลให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เปิดตัวเล่นการเมืองเพียง 49 วันก็ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้จากการสนับสนุนของทักษิณ ชินวัตร
นี่คือที่มาของการรัฐประหาร 2557 ที่จะคิดบัญชีทักษิณอีกครั้ง
ในการรัฐประหาร 2557 คณะรัฐประหารใช้ยาแรงมากขึ้น มีการใช้คดีต่าง ๆ เพื่อให้ ส.ส. ย้ายค่าย ทอดเวลาการสืบทอดอำนาจออกไปเรื่อย ๆ จนสามารถระดมทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อหาเสียงให้กับพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งออกแบบระบบเลือกตั้งเสียใหม่ โดยใช้บัตรใบเดียว แม้แบ่งเป็น ส.ส. เขต 350 เขต แบบเขตเดียว คนเดียว ระบบบัญชีรายชื่อ 150 คน โดยคิดคะแนนรวมทั้งประเทศ มาหารเพื่อจะได้ จำนวน ส.ส.ที่พึงมี
ซึ่งถ้า ส.ส. เขตเกิน ส.ส.ที่พึงมีก็จะไม่ได้ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งสูตรนี้คิดมาเพื่อทำลายพรรคของทักษิณ ไม่ว่าจะเป็น ไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทย โดยเฉพาะ
ซึ่งทักษิณ ก็อ่านเกมออกคือจะเล่นเกม แตกแบงค์พัน คือสร้างพรรคหนึ่ง ส่ง ส.ส. เขตคือพรรคเพื่อไทย อีกพรรคคือพรรคปาร์ตี้ลิสต์ คือพรรคไทยรักษาชาติ
แต่ด้วยการเป็นคนที่มากด้วยคอเนคชั่นจึงไปดึงเอาอุบลรัตน์ พี่สาวรัชกาลที่ 10 มาเป็นแคนดิเดตพรรคไทยรักษาชาติ ด้วยความหวังว่านอกจากจะได้คะแนนท้วมท้นแล้วพรรคสืยทอดอำนาจของทหารคือพรรคพลังประชารัฐจะสยบยอมด้วย
จึงถูกย้อนศรด้วยพระบรมราชโอกาสคืนวันที่ 8 กุมภา 2562 และนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักษาชาติในที่สุด
แต่สิ่งที่ฝ่ายอำมาตย์นึกไม่ถึงคือการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ที่ได้รวมถึง 6 ล้าน 3 แสนเสียง คิดเป็น ส.ส. ได้ถึง 87 ที่นั่ง ก่อนที่จะโดยเล่นกลเหลือ 81ที่นั้งเพื่อไปให้กับ ส.ส.ปัดเศษพรรคเล็ก แต่พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นศัตรูที่คาดไม่ถึงของชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์ โดยเฉพาะการเล่นบทจระเข้ขวางคลองโหวตสวน พระราชกำหนดโอนกำลังพลมาสังกัดหน่วยงานในพระองค์ของ รัชกาลที่ 10 จนถูกหมายหัวว่าต้องถูกยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหาร
ไม่เกินความคาดหมายเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 และตัดสิทธิกรรมการบริหาร พรรคเป็นเวลาถึง 10 ปี (มากกว่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนของทักษิณถึง 2 เท่า ) รวมทั้งปัญหางูเห่าจนทำให้ พรรคก้าวไกลที่เป็นพรรคต่อเนื่องจากพรรคอนาคตใหม่มี ส.ส.ในปัจจุบัน 53 คน
หลังจากที่พยายามออกแบบระบบเลือกตั้งเพื่อทำลายพรรคของทักษิณ ที่ชนะเลือกตั้งในปี 2544 เมื่อครบ 20 ปีก็เกิดเหตุการณ์ พลักตาลปัตร เมื่อพรรคพลังประชารัฐ ของคณะรัฐประหาร กับพรรคเพื่อไทยของทักษิณ เกิดความคิดตรงกันว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยระบบเลือกตั้งให้กลับไปเหมือน รัฐธรรมนูญ 2540 (เขต 400 -แบบเขตเดียวคนเดียว- /ปาร์ตี้ลิสต์ 100 -ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง-)
และที่สำคัญทักษิณเองก็ออกมาตอบรับด้วยความกระตือรือร้น
ทักษิณรับ ถนัดเลือกตั้งแบบ รธน. ปี 40 แนะเลือกตั้งรอบหน้าอย่าเป็นเบี้ยหัวแตก ต้องเทคะแนนสร้างความเปลี่ยนแปลง
https://thestandard.co/tony-care-clubhouse-x-care-talk/
ถ้าเป็นไปตามที่คาดไว้พรรคเพื่อไทยจะกลับมา ชนะเลือกตั้งอีกครั้ง หรือไม่พรรคพลังประชารัฐจะใหญ่ขึ้นจนกลายเป็น “สถาบันการเมือง” ตามที่ธรรมนัส พรหมเผ่าเคยโม้เอาไว้
และถ้าถึงเวลานั้นจริง ๆ ก็หมายความว่าทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นศัตรูหมายเลข 1 ของชนชั้นนำฝ่ายอำมาตย์อีกต่อไป
ส่วนศัตรูคนใหม่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล คณะก้าวหน้า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล และการทำลายล้างก็จะเกิดขึ้นต่อไป