หมอนี่อีกคน โทษผู้อื่นไว้ก่อน ไม่เคยรับผิดรับแต่ชอบอย่างเดียว เหมือนกันหมดหัวจรดหาง สมศักดิ์ เทพสุทิน พอออกจากเก็บตัว ๑๔ วัน ผลตรวจไม่ติดเชื้อ ก็เอาเลย ไม่ยอมขอโทษที่งานรดน้ำดำหัวของตนเป็นคลัสเตอร์ ติดเชื้อ ๕๒ ตาย ๒
“ยืนยันไม่ใช่ความบกพร่องที่มีการแพร่ระบาดในวงสังสรรค์ แต่เป็นเพราะระบบระบายอากาศในร้านไม่ดี” @jin_somroutai ช่อง ๓ ทวี้ตรายงานว่า แถม “สั่งตรวจระบบระบายอากาศร้านอาหารทั่วประเทศ” แก้เกี้ยวซะอีก @joe_black317 ชาวทวิตภพเหลืออด
“เอาตรรกะง่ายๆ ก่อนนะครับ ท่านรมต. ถ้าท่านไม่จัดงานรดน้ำดำหัวแล้วคนจะไปรวมตัวกันที่ร้านมั้ย? แล้วคนจะติดโควิดมั้ย? ระบบระบายอากาศในร้านไม่ดี แต่ไม่มีคนไปสังสรรค์ มันจะติดโควิดมั้ย? คิดสิครับ” หัดใช้หัวก่อนผายปากเสียบ้าง
แล้วนี่คลัสเตอร์คลองเตย กำลังมาแรง เริ่มด้วยติดหลักร้อย กำลังจะเป็นหลายร้อย เห็นมีบางโพสต์บอกว่าซ่อนๆ อยู่หลักพัน เฟคนิวส์หรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็เป็นไปได้ เพราะในนั้นมีชุมชนแออัดหลายสิบ โควิดแยกพันธุ์ใหม่นี่ติดง่ายเสียด้วย
หนำซ้ำใครไม่รู้เสล่อ เจ๊แต๋ว@yamyummy เก็บมาเล่า “เอาดีๆ นะ มีคนบอกว่าให้เอารั้วลวดหนามไปกั้นคลองเตย แบบสมุทรสาครอะ ไม่ให้เค้าออกมาข้างนอก แล้วส่งข้าวส่งน้ำเข้าไป /กุถามคำนะ ตอนทองหล่อมึงคิดทำแบบนี้ป่ะ”
ที่ต้องช่วยกันต้องนี่ เพราะรัฐช่วยไม่ทัน (อยู่ใกล้แค่นั้นละ) ‘มูลนิธิดวงประทีป’ ประกาศด่วน “ต้องการของบริจาคช่วยชุมชนคลองเตย สามารถนำมาให้ด้วยตนเองที่มูลนิธิฯ...หรือส่งที่ เลขที่ 34 ถนนอาจณรงค์ คลองเตย กรุงเทพฯ 10110” (ดูภาพ)
รวมความได้ว่าปัญหาโควิดระลอกสามครั้งนี้ ทำให้คำพังเพยฝรั่งอันหนึ่ง “do as I say, not as I do” ถูกนำมาใช้ประชดเสียดสีกับการที่คนใหญ่คนโตและคนอยู่ในที่สูง ชี้หน้าบอกพวกที่เรี่ยราดอยู่ล่างๆ ว่า “จำคำกูเอาไปทำนะ อย่าเสือกทำตามอย่างกู”
Sai-See-Ma @SaiSeeMaP ให้ตัวอย่าง “กทม. มีประกาศให้ต้องใส่หน้ากากนอกเคหสถานตลอดเวลา” ตั้งแต่ ๒๖ เมษายนเป็นต้นมา “แต่วันที่ ๒๘ เมษา ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กลับปรากฎภาพที่ไม่ใส่หน้ากากนอกเคหสถานเสียเอง”
อีกตัวอย่าง หลังจากนายกฯ ออกข้อกำหนด “ตาม ม.๙ แห่ง พรก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ ๒๒ ประกาศให้ประชาชนในกรุงเทพฯ งดการเดินทางออกนอกพื้นที่โดยไม่จำเป็น ตั้งแต่วันที่ ๑ พ.ค.” เป็นต้นมา ปรากฏว่าวันเดียวกันนั้นเอง
ทั้งปลัดสาธารณสุข รองปลัด กทม. เจ้ากรมแพทย์ ทบ. พากันเดินทางไปโคราช “เพื่อรับพระราชทานยา Favipiravir” จากพระเจ้าน้องยาเธอฯ ที่ตำหนักทิพย์พิมาน ปากช่อง เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งโดยไม่จำเป็นอย่างแย่
“พบว่ายาดังกล่าวนำเข้าจากประเทศจีน ผ่านท่าอากาศยานกรุงเทพฯ อยู่แล้ว จำเป็นอะไรถึงต้องส่งไปโคราชแล้วให้ ปลัด สธ. รองปลัด กทม. และคนอื่นๆ เป็นคนไปรับกลับมา กทม. อีกที” โฮ้ย กรรมวิธีในประเทศนี้ช่างทำให้น่าอยู่ไหมล่ะ
อย่างนี้ไปมือเย็นแข็งติดลูกบิดที่เมกาดีกว่า
อีกตัวอย่างยังมี วันที่ ๒ พ.ค. “องคมนตรี พร้อมคณะผู้ติดตามหลายสิบคนเดินทางไปเชิญสัญญาบัตรฯ ถวายแด่พระสงฆ์ที่ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี” ทั้งที่การเลื่อนสมณศักดิ์ประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว จะยกยอดเสียก็ได้
แต่ในรัชกาลนี้ชอบเล่นกับความเสี่ยง “ไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะต้องรีบทำพิธีถวายให้เสี่ยงกับการแพร่เชื้อ ขยายการระบาดไปยังจังหวัดอื่นแต่อย่างใด” ในเมื่อ “ผู้ติดตามก็ ๓๐-๔๐ คน ไม่นับพระสงฆ์ที่ร่วมพิธีอีกเป็นสิบรูป” น่าจะเกิน ๕๐ ขัดมาตรการควบคุมฯ
ยิ่งวันนี้ ติดเพิ่มที่ ๑,๗๖๓ ราย (ในเกณฑ์ค่ากลาง ๒ พัน) ยังไม่ยอมลด แล้วสถิติตายต่อวันเป็นเลขสองหลัก วันนี้ ๒๗ คน แสดงว่าอัตราเพิ่มคนติดคนตายแข่งกันแซงแล้วไง เพราะวิธีแก้ปัญหาที่รัฐบาลแจ้งไว้ ไม่ใช่วิธีที่รัฐบาลทำ
(https://twitter.com/SaiSeeMaP/status/1389180870217457668, https://taejai.com/th/d/klongtoei_cwa/=donate&utm_campaign=klongtoei_cwa และ https://twitter.com/jin_somroutai/status/1389406633671815172)