เฮ้ย รายการ ‘หมอโต๋วทีวีสี’ เพี้ยนแล้วละ มิตรสหายรายหนึ่งบนทวิตภพร้อง “แม่งพูดได้ไงเที่ยวนี้ไม่ใช่ ‘ล็อคดาวน์’ เพราะนั่นคือค่าใช้จ่ายที่ต้องเสีย จะเป็นภาระต่อภาษีของประเทศ” แม่คุณ ‘คำผกา’ บอกถ้างั้น “ทวีศิลป์ทำงานโดยไม่รับเงินเดือน” มั้ยล่ะ
จนกว่าโควิดจะหมดไปจากประเทศไทย เพื่อไม่เป็นภาระแก่ภาษีประชาชน” ส่วนนักวิชาการ prajak kong @bkksnow แนะว่า เงินภาษีที่คนไทยจ่ายให้ สว. เป็นค่าตอบแทนต่อปี (๓๔๐,๘๐๘,๖๔๐ บาท) เอามาเยียวยาประชาชน ดีกว่า
ไหนๆ พวกตู่ตั้งเหล่านั้น “ไม่ได้ทำงานสำคัญอะไร (แค่) โหวตตามมติเหมือนกันทุกเรื่อง” อยู่แล้ว แจกคนละ ๓ พันบาท ก็จะได้ตั้ง ๑๑๓,๓๓๓ คนเชียวละ “นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียวว่าจะนำเงินภาษี ปชช. มาช่วยเหลือ ปชช.ได้อย่างไร”
ออกมาซ่าทีไร หมอโรคจิตคนนี้มักจะมีอะไรแผลงๆ อยู่เรื่อย ทำงานให้พวกสืบทอดอำนาจรัฐประหารนานเข้า มันก็ ‘osmosis’ ซึมซับเอาพันธุกรรมความคิดอ่านอย่างตะหานเข้ากระแสเลือดไปแล้วสินะ ‘พลิกลิ้น-กลืนเสลด’ ครบเครื่อง
ในเมื่อการใช้มาตรการ ‘ควบคุมสูงสุด’ สำหรับ กทม.และ ๒๘ จังหวัดรายรอบและจุดเสี่ยงนั่นเพราะวงการแพทย์มองเห็นแล้วว่า ถ้าชักช้ายั้งไม่อยู่แน่ ว่าไปแล้วในแวดวงผู้ปฏิบัติการในเครือข่ายการแพทย์ ก็คล่องแคล่วว่องไวรู้ทันสถานการณ์อยู่
เสียแต่พวกที่มี ‘อำนาจ’ อยู่ในมือ ยังไม่ยอมรับรู้เท่าถึงการณ์กันมาก อย่างคุณหมอทีวีสีนี่น่าจะพูดในด้านถนัด เช่นผลกระทบโควิดต่อความคิดจิตใจชาวบ้านเป็นอย่างไรบ้าง ผ่อนปรนได้อย่างไร แทนที่จะทำตัวเป็นผู้กำกับนโยบายเศรษฐกิจแห่งรัฐ
พอพูดมั่วซั่ว ก็ทำให้ประชากรหงุดหงิด กลายเป็นการแพร่ขยายโรคจิตเข้าไปอีก ไม่น่าเลยหมอประสาท อย่างที่ ‘Pitch Pongsawat’ ว่าท่าจะใช่ ถ้า “มันเป็นเรื่องราชการบริหารแผ่นดิน” ก็ต้อง “ให้รัฐมนตรีมหาดไทยหรือนายกฯ มาตอบ”
มิหนำซ้ำในส่วนของโรคภัยและไวรัส (มักเกี่ยวกับทางเดินอากาศในร่างคน) ก็ควรต้องให้ “กรมควบคุมโรคซึ่งแถลงในตอนบ่าย” มาอธิบาย ตัวหมอทีวีสีเองเป็นแค่ ‘moderator’ ผู้ประสาน “สลับให้หลายๆ คนพูด จะทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้ซีเรียส” ดีกว่า
ผิดพลาดคือบทเรียน แต่ผิดซ้ำซากเป็นสันดานน่ะ ‘เบียดบัง’ รับค่าจ้างทุกเดือนทั้งที่ฝีมือไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ซ้ำมี ‘ตัวจริง’ ในสายงานแจงความจริงน่าสพรึง “ถ้าไม่ล็อคดาวน์ทั้งประเทศภายในสัปดาห์หน้า ลำบากระยะยาวครับ”
คงจะด้วยมาตรการ ‘แก้ผ้าเอาหน้ารอด’ จริงๆ น่ะแหละ มาตรการคุมเข้มที่ออกมาไม่ได้ตอบโจทย์การคุกคามของเชื้อโรคร้ายได้อย่างแจ่มแจ้ง ดูจากตัวอย่างประกาศผู้ว่าฯ นครนายก สั่งปิดสถานที่ ๑๔ อย่าง “ป้องกัน #โควิด19 ระบาด ทั้งสถานบริการ ผับ บาร์ สถานศึกษาทุกแห่ง”
แต่ยกเว้น “โรงเรียนนายร้อย จปร. และโรงเรียนเตรียมทหาร” ทำยังกับเชื้อไวรัสไม่กล้าเข้าสถานที่ผลิตนักยึดอำนาจสองแห่งนี้ หรืออาจเป็นเพราะบรรดาผู้ที่อยู่ในนั้นมีภูมิคุ้มกันสูง สรรพสิ่งทั้งหลายแหล่ไม่สามารถระแคะระคายได้ แม้แต่ ‘สิทธิมนุษยชน’
เห็นชัดยิ่งขึ้นว่า ภายใต้ระบอบเผด็จการศักดินา (จำบัง-stealth) นี้การปกปิดและปกป้องพวกพ้องทำกันอย่างโจ๋งครึ่มและเหิมเกริมเกือบถึงที่สุดนั่นแล้ว ประชากรรากหญ้ากับไพร่ฟ้าหน้าใสพึงระแวง กระทั่งการแจ้ง ‘timelines’ ผู้ป่วยโควิด ก็ยัง ‘บิด’ พริ้ว
ประกาศให้สาธารณะทราบสถานที่ต่างๆ ที่ผู้ติดเชื้อโควิดได้ไปสัมผัส เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะช่วยสกัดการแพร่ระบาดไม่ให้ขยายกว้างและพุ่งไปได้อย่างรวดเร็ว เป็นดำเนินงานที่มาถูกทางดีแล้ว แต่ด้วยมีอำนาจเหนือกว่ากลับทำให้กลายเป็นบ่อนทำลาย
เช่นกรณีผู้ป่วยโควิดรายที่ ๘๘ ไทม์ไลน์ของทางการแจ้งว่า ชายอายุ ๒๘ ปีรายนี้ ไปทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย ในวันที่ ๒๑ ธันวา แล้วไปตีแบ็ด (มินตัน) กับเพื่อนที่ ‘เอ็มคอนโด’ เขตจตุจักร แล้วข้ามไปวันรุ่งขึ้นเพื่อนโทรบอกว่าติดโควิดแล้ว
แต่จากแถลงแถลงของทางฝ่ายจัดการคอนโดระบุว่าวันเดียวกันนั้น ผู้ป่วยรายดังกล่าว “หลังจากเล่นแบ็ดเสร็จ ได้เดินกันไปเซเว่น ผ่านประตูข้างป้อมยาม” นี่ทางการจงใจละไว้ไม่เอ่ยถึง ในส่วนที่ผู้ป่วยและเพื่อนๆ เล่นแบ็ดได้ไปร้าน ๗-๑๑ แถวนั้น
เท่ากับว่าศูนย์ป้องกันโควิดของรัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของการอุ้มสมและปกป้องกิจการ ‘เจ้าสัว’ คู่หูนักรัฐประหารและสืบทอดอำนาจ ที่เขมือบภาคส่วนธุรกิจ กอบโกยความมั่งคั่งบนหลังประชากร ไปแล้วเกือบค่อนประเทศ
(https://www.matichon.co.th/politics/news_2512066, https://twitter.com/joe_black317 และ https://twitter.com/bkksnow/status/1345680356981182465)