วันศุกร์, กันยายน 18, 2563

ธนาธรรีวิวงบสถาบันกษัตริย์ ย้ำควรทำโปร่งใสเพื่อปกป้องพระเกียรติ


ต้องโปร่งใสเพื่อปกป้องพระเกียรติ

[ ธนาธรรีวิวงบสถาบันกษัตริย์ ย้ำควรทำโปร่งใสเพื่อปกป้องพระเกียรติ ]
.
รายการในวันศุกร์นี้เป็นการร่วมพูดคุยในหัวข้อ “ว่าด้วยภาษีที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของประชาชน” เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่กำลังจะเสร็จสิ้นการพิจารณาในวาระ 2 ในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในขณะนี้หลายโครงการ
.
[ ธนาธรซัดกรมชลฯไม่เห็นหัวประชาชน ดันทุรังผลักโครงการอ่างเก็บน้ำ “เหมือนตะกั่ว” ทั้งที่ กมธ.ตัดงบแล้ว - ชวนจับตาอีก 60 วันกรรมการพิจารณาแล้วเสร็จ จะยุติโครงการได้หรือไม่ ]
.
โดยในช่วงต้นของรายการ ธนาธรได้เปิดประเด็นถึงการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ซึ่งล่าสุดมีกรณีของอ่างเก็บน้ำเหมืองตะกั่ว จ.พัทลุง ซึ่งกรรมาธิการพิจารณางบประมาณได้ตัดงบประมาณในส่วนนี้ออกไปแล้ว และแม้ในภายหลังกรมชลประทานจะพยายามโยกงบประมาณปี 2563 มาเริ่มต้นโครงการ แต่ล่าสุดทางคณะรัฐมนตรีก็ได้มีการระงับโครงการนี้พร้อมกับตั้งกรรมการศึกษาข้อมูลโครงการขึ้นมาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน
.
โดยธนาธรระบุว่าในทางปฏิบัติเมื่อกรรมาธิการ ที่เป็นตัวแทนประชาชนที่สภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งให้มาดูแลงบประมาณแทนประชาชน มีมติให้ตัดงบประมาณของโครงการนี้ออกไปแล้ว โครงการนี้ก็ควรจะตกไป แต่ต่อมาทางกรมชลประทานกลับเดินหน้าโครงการต่อโดยอาศัยงบประมาณที่เหลือจากปี 2563 มาเริ่มต้นการก่อสร้าง เหมือนการแปะจองโครงการไว้ก่อน ให้เป็นงบผูกพันที่ปีหน้าไ่ม่สามารถตัดงบได้
.
นี่คือสิ่งที่ตนรู้สึกเหลือเชื่อมาก นี่แปลว่ากรมชลประทานไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เห็นหัวสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากประชาชนเลย เห็นได้ชัดเลยว่าข้าราชการไม่แยเแสเสียงตัวแทนของประชาชน ตนตกใจมากว่าทำไมต้องผลักดันโครงการให้ได้ขนาดนี้
.
แต่ยังโชคดี เนื่องจากกระแสสังคมที่ต่อต้านโครงการนี้สูงขึ้น จึงเกิดการประชุมที่นำมาสู่ข้อสรุปในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาโครงการนี้ให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ประเด็นก็คือถ้ารัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหานี้ ก็คงจะไม่ต้องใช้เวลาถึง 14 วัน ที่ประชาชนมาร่วมชุมนุมกันตั้งแต่ที่หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาจนถึงหน้าทำเนียบรัฐบาล ยอมทนนอนกลางพื้นถนนตากแดดตากฝน ต้องทนยากลำบาก และไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษาอะไรแล้ว
.
“ถ้าต้องการรู้ตัวนี้ ส่งคนไปดูหน้างานแปปเดียวก็รู้ ใช้เวลาเพียงแค้ห้าวันก็สามารถหาทางออก สามารถเข้าสู่ข้อสรุป ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นข้อสรุปเดียวกับพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ ก็คือมันไม่มีความจำเป็นต้องสร้าง พื้นที่ตรงนี้ ที่ อ.หนองธง จ.พัทลุง ไม่ได้เป็นพื้นที่น้ำท่วมหรือน้ำแล้วซ้ำซาก ไม่ได้มีปัญหาเรื่องน้ำ การจัดลำดับความสำคัญของการใช้งประมาณเป็นเรื่องสำคัญ ยังมีอีกหลายพื้นที่จริงๆ ที่อยากให้อ่างเก็บน้ำ 650 ล้านบาทนี้เอาไปสร้างที่อื่นได้เยอะแยะเต็มไปหมด โดยเฉพาะในภาคอีสาน เราเห็นการใช้งบประมาณที่ไม่ได้จัดลำดับความสำคัญแบบนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าเสียดายงบประมาณที่สูญเสียตรงนี้ไป”
.
ธนาธรกล่าวต่อไปอีกว่าทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้รัฐบาลมาฟังเสียงชาวบ้านมากขึ้น มาจากทั้งความเคลื่อนไหวและกระแสสังคมจากทั้งประชาชน นักศึกษา สื่อมวลชน นักวิชาการ ที่ร่วมกันเกาะติดปัญหานี้มาตลอด ตนขอให้เราช่วยกันจับตาในอีก 60 วันข้างหน้าว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ส่วนตนนั้นบอกได้เลย ว่าถ้าตัดสินตามพื้นฐานข้อมูล ฟังเสียงความต้องการของชาวบ้านและประชาชน กรรมการควรจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมาก ว่าโครงการนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น
.
[ ชี้งบสถาบันกษัตริย์เพิ่มขึ้น 25% ในรอบปีเดียว-กมธ.ไร้คนกล้าตรวจสอบ - ย้ำงบสถาบันฯต้องโปร่งใส-ตรวจสอบได้ กันหน่วยงานแอบอ้างทุจริต มิให้เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติ ]
.
จากนั้นธนาธรได้กล่าวถึงกรณีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีทั้งส่วนราชการในพระองค์ ที่ได้งบประมาณไป 8,981 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงบประมาณโดยตรงที่มีการจัดสรรให้สถาบันพระมหากษัตริย์จำนวน 20,309 ล้านบาทเท่านั้น แต่หากเมื่อนำไปรวมกับงบประมาณส่วนที่เป็นรายจ่ายโดยอ้อม 16,919 ล้านบาทแล้ว จะเป็นตัวเลขถึง 37,228 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 25% จากงบประมาณรายจ่ายปี 2563
.
โดยธนาธรระบุว่าในภาวะที่ประเทศเกิดวิกฤติเช่นนี้ พวกเราในฐานะกรรมาธิการวิสามัญคือทำอย่างไรให้การใช้งบประมาณที่มีจำกัดเกิดประสิทธิภาพและมีประโยน์ต่อประชาชนสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2564 ที่เราต้องฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ
.
สิ่งที่เราเห็นมาตลอด คืองบประมาณที่ถูกใช้ไปโดยไม่ถูกตรวจสอบมากที่สุดก็คืองบประมาณที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนต้องย้ำว่าเราพูดด้วยความหวังดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะถ้าการใช้งบประมาณส่วนนี้เป็นไปโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ มีแต่ความไม่โปร่งใส ก็รังแต่จะทำให้เกิดความสงสัยและการตั้งคำถามในหมู่ประชาชน ซึ่งอาจส่งผลต่อพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย
.
ดังนั้น สิ่งที่ตนเรียกร้องคือการทำให้งบประมาณของส่วนราชการในพระองค์และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์กลับเข้ามาอยู่ในการพิจารณางบประมาณตามปกติ เหมือนกับหน่วยรับงบประมาณอื่นๆทั่วไป ที่จะทำให้กรรมาธิการยืนยันกับประชาชนได้ว่างบประมาณส่วนนี้ถูกใช้อย่างเหมาะสมและมีปะระสิทธิภาพ
.
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือไม่มีใครในกรรมาธิการกล้าพูดถึงงบประมาณตรงนี้ ปกติเมื่อกรรมาธิการตั้งคำถามเสร็จ จะมีการบันทึกคำถามทุกคำถาม รวมทั้งการขอข้อมูลโดยกรรมาธิการไว้ แต่กรณีของตนที่ได้ขอข้อมูลงบประมาณส่วนราชการในพระองค์ไป เมื่อไปดูในระบบฐานข้อมูลกลับไม่พบว่ามีการบันทึกการขอเอกสารในส่วนนี้ไว้ เมื่อตนถามกับสำนักงบประมาณว่าเหตุใดเอกสารที่ตนขอจึงไม่อยู่ในระบบเอกสาร ตนก็ได้คำตอบกลับมาว่าเดี๋ยวจะขอให้ แต่ขอว่าไม่ลงในระบบได้หรือไม่
.
นอกจากนี้ ตามปกติก่อนจบกระบวนการพิจารณางบประมาณในส่วนใดก็ตาม จะมีรายงานว่ากรรมาธิการคนใดตั้งข้อสังเกตอะไรไว้บ้าง เพื่อให้ปรับปรุงการจัดทำงบประมาณในปีต่อไป ซึ่งตนได้เขียนข้อสังเกตไป ว่าขอให้ปีงบประมาณหน้าส่วนราชการในพระองค์ได้มาชี้แจงในกระบวนการปกติ ให้เหมือนหน่วยรับงบประมาณอื่นๆ ด้วย ซึ่งในปีนี้ผู้มาชี้แจงก็คือสำนักงบประมาณ ซึ่งมาชี้แจงแทนเพียงว่า “ส่วนราชการในพระองค์ในปี 2564 ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีไว้ 8,980 ล้านบาท” เท่านั้น
.
ซึ่งตนพยายามที่จะบอกว่านี่คือกระบวนการที่ไม่เหมาะสม แล้วถ้าอยากรักษาพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ วิธีเดียวคือทำให้มันถูกต้อง เข้าสู่กระบวนการปกติ ชี้แจงงบประมาณให้กรรมาธิการรับทราบ เปิดเผยข้อมูลเหมือนที่หน่วยงานปกติทำกัน ซึ่งก็หวังว่าปีหน้าส่วนราชการในพระองค์จะฟังและนำความคิดเห็นของตนและไปประยุกตร์ใช้บ้าง
.
“ผมย้ำอีกทีว่าผมพูดเรื่องนี้ เพื่ออยากให้เกิดความโปร่งใส พี่น้องประชาชนจะได้ไม่ต้องตั้งคำถามกับงบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ กรรมาธิการงบประมาณทุกท่านก็จะออกมาตอบแทนได้ ว่างบประมาณของส่วนราชการในพระองค์ถูกใช้อย่างเหมาะสมแล้ว” ธนาธรกล่าว
.
ธนาธรกล่าวต่อไป ว่ากลไกใดก็ตามที่ไม่มีการสมดุลทางอำนาจ ไม่มีการตรวจสอบ อาจมีคนที่ไม่หวังดีแอบอ้างชื่อสถาบันพระมหากษัตริย์แอบอ้างแล้วเอางบประมาณสว่นนี้ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและ อาจจะนำไปสู่การทุจริตได้
.
เมื่อไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล งบประมาณส่วนนี้จึงเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล โดยไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม เช่นงบประมาณที่เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง 38 ลำ ที่เป็นส่วนงบประมาณของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในปีงบประมาณ 2564 มีการเสนอค่าใช้จ่ายมาทั้งหมด 1,969 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ 1,575 ล้านบาท, ปี 2562 ที่ 1,463 ล้านบาท, และปี 2561 ที่ 1,295 ล้านบาท จะเห็นได้ว่างบประมาณตัวนี้เพิ่มขึ้นถึง 52% ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปีงบประมาณเท่านั้น หรือเพิ่มขึ้นปีละ 13%
.
ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ อัตราการเพิ่มขึ้นของบประมาณแผ่นดิน และอัตราการเติบโตของ GDP เสียอีก ตนได้ถามสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีว่าเหตุใดงบประมาณส่วนนี้จึงมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่รวดเร็วเช่นนี้ จะเป็นต้องใช้งบประมาณเยอขนาดนี้เลยหรือ คำตอบที่ตนได้รับคือปีหน้าจะพยายามให้ไม่เพิ่มขึ้นสูงเช่นนี้
.
นี่คือกลไกของการตรวจสอบถ่วงดุล การตั้งงบประมาณที่เกี่ยวกับเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์พระมหากษัตริย์คงไม่ได้มาตั้งเอง หน่วยงานที่ใช้เป็นคนตั้งขึ้นมา ซึ่งการเพิ่มปีละ 13% ภายใน 4 ปีเพิ่มขึ้น 52% นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก
.
“มันไม่ได้มีแค่ส่วนราชการในพระองค์ ไม่ใช่มีแค่งบเกี่ยวกับเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง แต่มันยังมีงบประมาณอื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมดที่อ้างใช้ในนามสถาบันพระมหากษัตริย์ นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะพี่น้องประชาชนหลายคนสงสัยว่าทำไมงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ถึงเยอะขนาดนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของหน่วยงานราชการ เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่ตั้งขึ้นมาเอง แล้วก็มีการแอบอ้างชื่อไปใช้ สิ่งที่เราต้องกังวลในฐานะประชาชนคนไทย ก็คืองบประมาณที่ถูกใช้ไปในนามสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้ามีการทุจริตคอรัปชั่น ถ้ามันมีการใช้จ่าย จัดซื้อจัดจ้างที่แพงเกินจริงขึ้น จะส่งผลกระทบถึงพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้าเราอยากจะปกป้องพระเกียรติจริงๆ เรื่องพวกนี้ต้องเปิดให้ตัวแทนของประชาชนตั้งคำถามได้ ต้องเปิดให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคำถามได้ เหมือนกับหน่วยงานอื่นทั่วไป จะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย ประชาชนจะได้ประโยน์ สถาบันก็จะไม่มีคนมาแอบอ้างชื่อสถาบันไปใช้ในทางที่อาจจะทำให้เสื่อมเสียได้”
.
https://www.facebook.com/ThailandProgressiveMovement/videos/350179039490954