วันเสาร์, กันยายน 26, 2563

โถ แค่เนี้ยรับไม่ได้ 'รุ้ง' โยนสิ่งเลวร้าย ‘ไอ้นั่น’ ที่เธอไม่มี ใส่คนที่เธอโกรธ มันตบหน้าผู้ชายทั้งหลายด้วยดิ


โถ แค่เนี้ยรับไม่ได้ มาถึงจุดนี้ การแจก ควย ไม่ใช่เรื่องหยาบอีกต่อไป ในเมื่อคนที่ให้เป็นผู้ไม่มีสิ่งนั้น มันเป็นเพียงบริบทในความเหลืออดของเด็กสาวคนหนึ่ง จึงได้นำเอาสิ่งที่สังคมชายเป็นใหญ่มักไล่แจกกันมาแต่ไหนแต่ไร มาโยนใส่กลับให้บ้าง

ใครจะเถียงว่าอย่างไรเสีย การใช้คำนี้หยาบคายแน่ๆ แต่ในศตวรรษที่ ๒๑ ของประเทศไทยที่คนวัยใสพยายามเดินหน้าไปให้ทัน หรือ ล้ำหน้ายุคสมัย ที่ฝรั่งเรียก trending, innovative หรือ ahead of the game เป็นผู้มาก่อนกาล

ในวันนี้ที่คนรุ่น ๕๐ ขึ้นไป มีวิสัยทัศน์เห็นแค่สุวรรณภูมิของมหาชนก ถ้าไม่นั่งแช่อยู่กับที่ก็เอาก้นถัดถอยหลัง มักจะ รับได้ กันมาก่อน เมื่อมีการใช้ผรุสวาจาแจกของลับชาย ซึ่งคนให้ (มักเป็นเพศชาย) ดูถูกตัวเองว่า ไอ้นั่นเป็นสิ่งเลวร้าย ถึงได้จะโยนใส่คนที่ตนโกรธ

ในตรรกะเช่นนี้ การที่ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เขียนทวิตเตอร์ “ถึง ชวน หลีกภัย และ สว.ทุกคนนะคะ” ว่า ควยค่ะเธอตบหน้าทั้งผู้ที่ถูกเอ่ยถึง และเพศชายวายร้ายทั่วๆ ไปด้วย เธอไม่ยอมใช้ ของของเธอเอง เพราะเห็นเป็นของดี มิควรให้แก่คนชั่วช้า

ประเด็นที่ต้องการแตะถึงในที่นี้อยู่ที่ ถ้าจะวิเคราะห์กันให้จะจะไปแล้ว คำว่าควยไม่หยาบอีกต่อไปเพราะ ในยุคสมัยที่เพศสัมพันธ์มิใช่สิ่งที่แม้กระทั่งสามีภรรยาต้องแอบทำและห้ามเอ่ยถึงอีกต่อไป เด็ก (โดยเฉพาะผู้หญิง) วัย แตกเนื้อ ได้เรียนรู้จักถึงแก่น

วิทยาการแผนใหม่สอนให้ได้รู้วิธีใช้มันอย่างสมประสงค์ ถูกสุขภาพ และรับผิดชอบต่อสังคมมนุษย์รอบข้าง ฉะนั้น ไม่เชื่อว่า รุ้ง ใช้คำดังกล่าวในบริบทที่ต่างจากผู้ชายวัยถอยหลัง อย่างประยุทธ์ จันทร์โอชา และใครอีกคนที่ว่าเป็นอดีตรองอธิการบดีน่ะ

บางท่านในฝ่ายประชาธิปไตยอาจอธิบายในสิ่งที่รุ้งทำอย่างเป็นเหตุเป็นผล ใน context ของหลักการประชาธิปไตยต่างแง่มุม เช่น พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ว่าไม่ถือหยาบคาย “เพราะยังลงท้ายอย่างสุภาพว่า ค่ะ” ก็จริงของเขา

ดัง Nithinand Yorsaengrat ตอบว่า “นั่นสิคะ มีหางเสียง ไม่สำรากเหมือนคุณตู่” พอดีสองคนนี้เขาคุยกันอยู่บนเฟชบุ๊คหลังจากนิธินันท์บอกว่า เด็กสมัยนี้ไม่ “ดัดจริต” ในเมื่อ “ผู้ใหญ่ชอบสอนเด็กให้ทำตัวประเภท ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก”

ก็เลย “ขอทำทุกอย่างต่อหน้า” ว่ากันซึ่งๆ เลยด้วยการใช้ ถ้อยคำ ที่ผู้ใหญ่ใช้เป็นนิสัยนั่นละ “เป็นเครื่องมือเพื่อการสื่อสาร” จึงเป็นหน้าที่ผู้ใหญ่ต้องศึกษา ทำความเข้าใจเด็ก “ทำความเข้าใจกับโลกใหม่...หาทางสร้างสรรค์สังคมที่ทุกฝ่ายจะอยู่ร่วมกันได้”


จะเป็นหนทางที่ประยุทธ์ รับไม่ได้ก็ควรจะถอยออกไป ไม่ใช่พูดว่า “การใช้คำพูดที่หยาบคาย วาจาผรุสวาทไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทย” ในเมื่อความเป็นจริงตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายและบิดามารดาของประยุทธ์มาแล้ว ก็ผรุสวาทกันมาอย่างนี้

แล้วจะมาโยงเอาการที่ รุ้งตบหน้าชายแก่ทั้งหลายเพื่อบอกว่าพวกทั่นล้าหลังเต็มทน โดย “สั่งเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดม็อบ” นั่นเพียงได้ทียกเอามาเป็นเหตุอ้าง การจัดการกับนักเรียนนักศึกษาที่จัดประท้วงกันไม่เว้นแต่ละวันทำมาแล้วอยู่ตลอดเวลา

ข้อสำคัญคนที่ รุ้ง น่าจะเอ่ยถึงไว้ด้วยยิ่งว่านายชวน ก็ประยุทธ์นี่แหละที่มักใช้วาจากักขฬะ ส่อเสียด และข่มเหง อยู่ตลอดเวลาในที่สาธารณะ “ไอ้ห่า ไอ้บ้า (ไอ้) ขี้ข้า” นี่ไงตัวอย่างให้เห็นว่า รุ้งกับประยุทธ์นั้น ใครสบถมากกว่ากัน