ขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้การชุมนุมวันนี้ไปได้ลื่น เจ้าหน้าที่ (โดยเฉพาะตำรวจ) สกัดกั้น กีดกัน และก่อกวนผู้จะเข้าร่วมชุมนุม โดยปราศจากความชอบธรรมใดๆ ในทางกฎหมาย หรือแม้แต่ ‘สมเหตุสมผล’ ไม่ว่าจะไปขวางรถเครื่องเสียง หรือตั้งด่านกั้นขบวนรถเข้ากรุง
แต่ว่ามัน “ก็เอาไม่อยู่” ดัง ‘นักรบล้านนา’ ในคณะรถตู้ ๕๐ คันจากเชียงใหม่ประกาศก่อนเข้าถึง กทม. หลังจากโดนด่านตำรวจตรวจกักที่ด่านอำเภอแม่ทา ลำพูน และพะเยา เก็บบัตรประชาชนเอาไปถ่ายเอกสาร ท่ามกลางผู้โดยสารรุมชูสามนิ้วใส่
ด้านศรีสะเกษ ปิยรัฐ จงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่ตำรวจ สภ.เมือง “ขอขึ้นรถติดตามชาวบ้านที่จะเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุม...รถเช่าเหมาคันที่ประชาชนลงขัน” หากไม่ยินยอมจะขับรถติดตาม แน่ละคณะเดินทางไม่อนุญาต “จะขับติดตามหรือไม่ เอาที่สบายใจ”
ชั่วร้ายสุดๆ ก็การที่มีตำรวจไปดักรอหน้าบริษัทเครื่องเสียงเมื่อวานนี้ ไม่ยอมให้ขนอุปกรณ์ขึ้นรถเพื่อไปติดตั้งบริเวณสนามหลวงและท่าพระจันทร์ รวมทั้งบริษัทรับจัดทำเวทีมีตำรวจนอกเครื่องแบบไปยืนล้อม ซักถามว่าจะไปงานวันนี้ไหม กีดกันพนักงานไม่ออกรถได้
“ล่าสุดที่เชียงใหม่” พริษฐ์ ชีวารักษ์ โพสต์เล่า “ตำรวจไปขอร้อง (แกมบังคับ) พ่อครูกับลูกศิษย์ถึงบ้าน ไม่ให้มาตีกลองสะบัดชัยในงานชุมนุม...จะอะไรกันหนักหนา จะสืบสานศิลปะวัฒนธรรมล้านนาก็ไม่ได้” เพ็นกวินต้อง ‘ขอแรง’ พี่น้องคนไหนพอตีกลองได้ช่วยหน่อย
ก่อนหน้านี้เมื่อ ๑๖ กันยา ที่จังหวัดกระบี่ นักเรียน ม.ปลายที่เคยร่วมกิจกรรม #กระบี่ไม่ทน คนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ๖-๗ คน ไปถามหาที่บ้านขณะตนอยู่ที่โรงเรียน จากนั้นจึงบุกไปพบนักเรียนคนนี้ถึงโรงเรียน ถามโน่นถามนี่เรื่องจะไปร่วมชุมนุมไหม
ที่อื่นๆ ก็โดนแบบเดียวกัน ทั้งๆ ที่การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐแบบนี้จัดเป็นการคุกคามโดยไม่เข้าข่ายของตัวบทกฎหมาย ซึ่งปัญหาของชาวบ้านอยู่ที่ไม่สามารถจะยื่นฟ้องร้องเรียนต่อการละเมิดสิทธิของเจ้าหน้าที่ได้อย่างสะดวก
ซ้ำยังหวาดหวั่นกันอีกต่างหาก ประดุจดังบรรยากาศเผด็จการแบบ ‘Reign of Terror’ สายเหี้ยมของยุคฟ้าสซิสต์และนาซีในยุโรปโบราณ ขนาดว่าชาวโลกต้องออกมาวิงวอน “ให้เคารพในสิทธิของพลเมือง ในการชุมนุมและแสดงความเห็นอย่างเสรี”
เอลเลียต เอ็งเกิล ประธานกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เขียนทวิตเตอร์เช่นเดียวกับ ทอม แลนโทส ประธานกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสภาเดียวกัน ว่า “ผู้มีอำนาจ ‘ต้อง’ เคารพเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุม”
มิใยทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในคืนก่อนวันชุมนุม พรรณิการ์ วานิช จากคณะก้าวหน้านำทีมไปสำรวจสถานการณ์ที่ มธ.พบว่า “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปิดประตูห้ามบุคคลภายนอกเข้าก่อนเวลาปกติ” รวมทั้งประตูด้านท่าพระอาทิตย์
‘ช่อ’ ถามว่า “เหตุใดมหาวิทยาลัยที่ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปในบริเวณพื้นที่ แต่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปได้ ดังนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้สื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่ซ่องสุมกำล้งภายในหรือไม่”
แต่อย่าหวัง ชายหัวเกรียนทั้งในและนอกเครื่องแบบเหล่านั้นยืนจังก้ากันอยู่หน้าหอประชุมใหญ่ ภายในธรรมศาสตร์กลายเป็นค่ายทหารตำรวจไปแล้ว แม้นว่าช่วงกลางวันจะมีป้ายกระดาษไปติดต่อท้ายข้อความบนกำแพง
“เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน” นั้น “เป็นประโยคโฆษณาเท่านั้น” แม้กระทั่งข้อความบนระเบียงตึก ตัวอักษรขนาดยักษ์ ก็มีป้ายผ้าไปปิดตรงคำว่า ‘ประชาชน’ จนอ่านได้ความใหม่ว่า “รับใช้เผด็จการ คือปลายทางเราที่เล่าเรียน”
เช่นกันกับบนเวทีในคืนนี้ ทั้งด้านท่าพระจันทร์และสนามหลวง ไม่ว่าจะขัดขวางกางกั้นมาขนาดไหน เนื้อหาปราศรัยหนีไม่พ้นการปฏิรูประบอบกษัตริย์ไทย ให้สอดคล้องต้องตามประชาธิปไตยที่ประมุขควรอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
พร้อมทั้งการจับจ่ายใช้สอยในสถาบันฯ ควรคำนึงถึงปากท้องประชาชนพร้อมกันไปด้วย พวกผู้อภิปรายนับแต่อานนท์ นำภา ไปถึงรุ้ง ปนัสยา เพ็นกวิน ชีวารักษ์ ไปถึงไหม ธนพร คงไม่พ้นวิงวอนให้มีการแก้ไข เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่
โดยเฉพาะเรื่องที่อานนท์แจ้งไว้หลัดๆ ใหม่สด “ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔” รวมแล้ว ๑,๙๖๙ ล้านบาท คู่ขนานไปกับ “กองทัพบกก็ไม่น้อยหน้าครับ เบาะๆ ซื้อรถยานเกราะ ๙๐๐ ล้าน”
ไหนจะงบการบินไทย ขนาดเจ๊งไปแล้วรอฟื้นฟู “มีการจ้างปรับปรุงห้องที่ประทับบนเครื่องบินพระที่นั่ง จำนวนเงินสูงถึง ๗๕๐” ล้านบาท อานนท์ตั้งคำถามไว้กับกองทัพอากาศไทย “ใช้งบประมาณจากส่วนใดไปจ่าย ใช่เงินภาษีประชาชนหรือไม่”
เขาคงทวงอีกทีในคืนนี้
(https://twitter.com/arnonnampa/status/1306777673813970949, https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=433402720969014&id=100028978683405, https://www.tlhr2014.com/?p=21429UNk และ https://prachatai.com/journal/2020/09/89580)