วันศุกร์, กันยายน 18, 2563

'ตู่' ทำจีบปากจ้อ "รับทราบความคับข้องใจของพวกท่านในเรื่องการเมือง" ขณะตำรวจ 'แหกปาก' ขู่ 'ผิดกฎหมาย' ห้ามใช้สนามหลวง


จะเรียก โค้งสุดท้ายก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ พร้อมกันไปกับทวงคืน สนามหลวง ๑๙-๒๐ กันยา ๖๓ หรือจะเพียง ลองของ“ซักซ้อม เรียนรู้สะสมกำลังและประสบการณ์” ดัง พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ให้ความเห็น

“ส่วนงานจริงน่าจะเป็นกลาง-ปลายเดือนตุลาคม แต่ถ้าฝ่ายรัฐกดดัน ปิดกั้น ใช้มาตรการแข็งกร้าว งานซักซ้อมนี้ก็อาจกลายเป็นงานจริงไปเลยก็ได้” ก็ตามที ดูจากอาการของฝ่ายตรงข้ามแล้ว งานนี้ก้าวไปเกือบครึ่งตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

เขตพระนครผู้ดูแลพื้นที่ “นำป้ายอนุญาตให้ประชาชนสามารถใช้พื้นที่สนามหลวงได้ตั้งแต่เวลา ๐๕.๐๐ -๒๒.๐๐ น. ซึ่งเป็นการดำเนินการตามประกาศ กทม.เมื่อปี ๒๕๕๕ อนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าไปออกกำลังกายพักผ่อนหย่อนใจ”

แม้นว่ามีติดปลายนวม “ส่วนรวมกลุ่มคนจำนวนมากต้องขออนุญาตจาก กทม.” ก็เบี่ยงหลบได้ ในเมื่อที่ขออนุญาตไว้แล้วกลับเบี้ยว คราวนี้จึงเป็นเรื่องของต่างคนต่างมา จะเป็นหมื่นๆ หรือถึงแสน จะให้ห่วงโควิดระบาดใหม่อย่างที่นายกฯ อ้าง ช่วยไม่ได้


ในเมื่อผลักไสพวกเขาออกไปเอง จะมาทำจีบปากจ้อ “ผมขอบอกทุกคน ที่อยากจะออกมาชุมนุม ชัดๆ ว่าผมได้ยินสิ่งที่ท่านพูด ผมรับทราบความคับข้องใจของพวกท่านในเรื่องการเมือง และความไม่พอใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ”

แบบนี้ ไม่มา เสียดีกว่า มาช้า นะ เพราะขณะเดียวกันพวกตำหวดของทั่น แหกปาก อยู่นั่นแล้ว พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลพูดถึง “ประเด็นการใช้สนามหลวง (ว่า)...หากเข้ามาใช้พื้นที่อาจจะถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายได้”

เช่นดียวกับ “การเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล หากมีการบุกรุกสถานที่ก็ผิดกฎหมายเช่นกัน” นั่นคือ “ตามพ.ร.บ.ชุมนุมฯ กำหนดว่าต้องมีระยะห่างจากทำเนียบ ๕๐ เมตร คืออยู่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์” ซึ่งจะมีตำรวจ ๓๐๐ นายคอยควบคุม

ทางด้านรองโฆษกตำรวจชี้แจงเพิ่มหลังการประชุม ปกปิด ของ ครม.ว่านายกฯ สั่งการ “ฝากบอกผู้ที่จะมาชุมนุมให้คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพผู้ใช้รถใช้ถนน...ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายรักษาความสงบตามปกติ และจะไม่มีการใช้กำลัง แต่จะใช้หลักรัฐศาสตร์ควบคู่กันไป”

นอกนั้น “กระทรวงสาธารณสุขมาคัดกรองวัดอุณหภูมิ เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.ก.ป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-๑๙...จุดคัดกรองบริเวณ ม.ธรรมศาสตร์ และเกาะรัตนโกสินทร์ แยกคอกวัว” ฟังดูเหมือนจะไปได้ลื่นไหลดีอยู่

ติดอยู่นิดก็ตอนหลังสี่ทุ่มคืนวันที่ ๑๙ หลังจากที่ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศไปพร้อมเพรียงกัน ออกกำลัง ปาก ปราศรัย ออกกำลังหู ซึมซับสดับฟัง กันเป็นอันแล้ว ค่ำนี้นอนไหนรอรุ่งเช้าพากันเดินไปหน้าทำเนียบหรือลานพระรูปด้วย (ตู่ อีกคนไม่ต้องเผือก)

ก็คงกางเต๊นนอนริมทางสองฝั่งราชดำเนิน (ทั้งกลางและ/หรือนอก) พื้นที่เยอะไปยันสพานมัฆวาน ถึงอย่างไรก็ได้พรรคร่วมฝ่ายค้านออกมาแถลงสนับสนุนการชุมนุมนี้ (ตอนโค้งสุดท้ายนี่เหมือนกัน) ซ้ำหัวหน้าพรรคเพื่อไทยบอกด้วยว่า


จะมีคณะกรรมาธิการการปกครองไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมด้วย เพราะมีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แม้เชื่อว่าเป็นการชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ แต่ก็เป็นห่วงผู้มีอำนาจจะทำให้เกิดปัญหา จึงอยากให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปิดพื้นที่สำหรับการชุมนุม”

เลยนึกถึงเมื่อตอน ๑๔ ตุลา ๑๖ เมื่อขบวนนักศึกษาถูกผลักดันจากตำรวจบริเวณหน้าสวนจิตรลดา ถูกตีด้วยไม้พลองตกคูคลองหน้าวังกันระนาว พอวังเปิดประตูให้นักศึกษาหลบเข้าไปอาศัยได้ ๑๔ ตุลาเลยกลายเป็น  มหาปิติไปเลย

ต่างกับอีกสามปีต่อมา ๖ ตุลาดันเป็น มหาวิโยคฉะนี้ธรรมศาสตร์อาจจะชะล้างความวิโยคได้บ้าง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่สนามหลวงในยามค่ำมืด จะเปิดประตูให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชน และอดีตคนเสื้อแดง เข้าไปหลบลี้ ก็คงจะมีปิติบ้าง อาจไปถึงขนาด มหา

(https://www.facebook.com/thestandardth/posts/25460825490179552CP-R, https://prachatai.com/journal/2020/09/89532 และ https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_347660)