วันจันทร์, ตุลาคม 14, 2562

สปีชเสล่อแดงหย่าย แข่งรัศมีหัวหน้าไม่ได้ ทั้งที่อกติดเข็มกลัดทีปังกร


นี่พวกขุนศึกศักดินา ราชาชาตินิยม กำลังพาดบันไดไม่รู้กี่ขั้นหย่อนลงเหวไปหาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช  แบบ นูโวสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ละหรือ จากที่ Thanapol Eawsakul เตือนให้ จับตาอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย “อาจจะมีอายุอีกไม่นาน

(ก่อนหน้าที่รอดถูกทุบ เพราะไม่มีงบประมาณสร้างใหม่)” โดยท้าวความประวัติศาสตร์หลังรัฐประหาร ๒๔๙๔ ฝ่ายราชสำนักผลักดันให้สร้างอนุสาวรีย์พระปกเกล้าฯ สร้างภาพ กษัตริย์ประชาธิปไตย แต่ไม่สำเร็จเพราะเงินในคลังไม่มี

แต่มีความพยายามครั้งใหม่ที่จะพายเรือถอยหลังกลับไปหาซากปรักพังทางประวัติศาสตร์ให้เห็นมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังจัดทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสงครามของไทยในอดีต สร้างภาพโอ่อ่ามโหฬารของระบอบกษัตริย์

กอร์ปกับพัฒนาการ โอนกำลังพลทหารบางส่วนไปเป็นของสถาบันกษัตริย์ พร้อมสรรพกับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปเลี้ยงดู ซึ่งจะมีการพิจารณาอนุมัติ พรก.กันในวันที่ ๑๗ ตุลาคมนี้ ที่ อานนท์ นำภา ติงว่า

“ถ้ายอมให้รัฐบาลออก พรก.โดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ การออก พรก.ก็จะกลายเป็นเรื่องตามอำเภอใจเหมือน ม.๔๔ เดิม ที่ให้อำนาจคณะรัฐประหารไว้” อันผิดขั้นตอน และเนื้อหาใน “การให้สถาบันกษัตริย์ขยายอำนาจทางการทหาร ย่อมไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย”


ย้อนไปถึงการที่ ผบ.ทบ.ออกมา ซัลโว ซัดไม่ยั้ง เรื่องแนวคิดแก้ไขมาตรา ๑ แล้วโยงเอาพรรคฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่กำลังได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่อย่างสูงโด่ง อ้างว่าคบต่างชาติ (จีนฮ่องกง) เพื่อล้มล้างการปกครองอันมีกษัตริย์เป็นประมุข

แทนที่จะเป็นระเบิดเถิดเทิงให้เกิดกระแสต้านฝ่ายค้านในวงกว้างได้ กลับกลายเป็นแฉความว่างเปล่าทางวิสัยทัศน์ของหัวหน้าฝ่ายทหาร ที่เกิดความรู้สึกตะหงิดภายในเครือข่าย คสช. ว่ามุ่งหมายแข่งรัศมี ไอทู้บ ไม่สำเร็จ

จากสองประเด็นที่มีคนให้ข้อคิด เรื่องการเกาะโพเดี้ยมเดี่ยวไมโครโฟนแบบดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ “ข้อมูลที่ ผบ.ทบ.พูดวันนี้ หลายส่วนมันมาจากข่าวลวงที่ฝ่ายสนับสนุนกองทัพ/คสช. ผลิตขึ้นมา”

บัส เทวฤทธิ์ มณีฉาย ให้ความเห็นประเด็น “ที่มีการโจมตีว่าไปจ้างชาวต่างชาติมาถ่ายหน้าโรงพักกับผู้ต้องหาการเมืองเมื่อปีก่อน ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชาวต่างชาติเหล่านั้นก็มีตัวตนจริงๆ” แล้วยัง ผบ. #ควายแดงดันยกมาอ้าง

ดัง “ผบ.ทบ. บอกว่าการไปเอาฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้ มาร่วมถ่ายรูปหน้าโรงพักบ้าง ไปร่วมยืนอยู่กับกลุ่มชุมนุมบ้าง เพื่อให้เห็นว่านี่มันอินเตอร์ นี่มันเป็นสากล” ก็เป็นการนำข้อมูลประดิษฐ์มาประโคมเหมือนว่า ผบ.ทบ.เชื่อ เฟคนิวส์เหล่านั้น

แม้กระทั่งการใช้คำน่าทึ่งอย่าง ฮ่องเต้ซินโดรมที่อาจจงใจสาดเสียให้แก่ผู้นำฝ่ายค้านคนหนึ่ง แต่ผลกระทบจริงๆ ไปโดนแขกรับเชิญงานฉลอง ๗๐ ปีการสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์จีน ที่ได้รับมอบเหรียญตราคนหนึ่งเข้า

มิหนำซ้ำ พอมีการค้นคว้าหาความหมาย มิตรสหายนักวิชาการท่านหนึ่ง ของ อธึกกิต แสวงสุข พบว่ามาจากคำ ‘emperor syndrome’ ซึ่ง “นักข่าวชาวอังกฤษบัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้น เพื่ออธิบายนิสัยของเด็กชายชาวจีนแผ่นดินใหญ่

ที่เกิดในช่วงที่รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ใช้นโยบายลูกคนเดียว” โดยที่ “ลูกชายคนเดียวนั้น มีนิสัยใช้เงินฟุ่มเฟือยมากราวกับมีท้องพระคลังมหาสมบัติ เอาแต่ใจตัวเอง ขี้โมโห โมโหร้าย ยึดตัวเองเป็นที่ตั้งว่าสำคัญสูงสุดเหนือทุกสิ่ง”
 
ดูแล้วลักษณะแบบนี้เหมือนใครบางคนที่เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศไทย อาจต่างฐานะต่างวัย แต่บุคคลิกอย่างนั้นทำให้บรรยากาศของการอยู่ร่วมกันในสังคมอึดอัดและขัดข้อง สำหรับคนจำนวนมากที่ต้องการสูดอากาศบริสุทธิ์ของการมีเสรีภาพ

เป็นที่น่าสังเกตุว่าเมื่อพรรคฝ่ายค้านใหญ่รายหนึ่ง “กดดันให้นายกฯ ตั้งคณะกรรมการสอบพฤติกรรม ผบ.ทบ.ว่ารัฐบาลไม่ได้ใช้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมือง” ปฏิกิริยาจากประยุทธ์กลับ “ชวนให้ทุกฝ่ายเลิกทะเลาะเบาะแว้งกัน เพื่อเดินหน้าปฏิรูปการเมือง”

หาว่า “ถ้าเป็นแบบนี้การ เมืองก็ปฏิรูปไม่ได้ นักวิชาการ นักการเมือง รัฐบาล ประชาชน ทำอะไรต้องร่วมมือกัน ถ้าไม่ร่วมกันจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ต้องร่วมใจก้าวไกลยั่งยืน” ฟังดูอาจเหมาเอาง่ายๆ ว่าให้ท้ายลูกน้อง

แต่เมื่อทบทวนบริบทแวดล้อมชวนให้ตีความว่า รักษาระยะห่าง ‘equidistance’ ไว้บ้าง ดุว่าข้างหนึ่งพร้อมๆ กันไปกับปรามๆ อีกข้าง ไม่เช่นนั้นตัวหัวหน้าใหญ่เองจะเสียหะมา ที่ปล่อยลูกน้องพูดจาเสล่อได้ปานนั้น