นี่พวกขุนศึกศักดินา ราชาชาตินิยม
กำลังพาดบันไดไม่รู้กี่ขั้นหย่อนลงเหวไปหาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช แบบ ‘นูโว’
สำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ละหรือ จากที่ Thanapol Eawsakul เตือนให้ ‘จับตา’ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย “อาจจะมีอายุอีกไม่นาน
(ก่อนหน้าที่รอดถูกทุบ เพราะไม่มีงบประมาณสร้างใหม่)” โดยท้าวความประวัติศาสตร์หลังรัฐประหาร
๒๔๙๔ ฝ่ายราชสำนักผลักดันให้สร้างอนุสาวรีย์พระปกเกล้าฯ สร้างภาพ ‘กษัตริย์ประชาธิปไตย’ แต่ไม่สำเร็จเพราะเงินในคลังไม่มี
แต่มีความพยายามครั้งใหม่ที่จะพายเรือถอยหลังกลับไปหาซากปรักพังทางประวัติศาสตร์ให้เห็นมากขึ้น
หนึ่งในนั้นคือการที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังจัดทำภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสงครามของไทยในอดีต
สร้างภาพโอ่อ่ามโหฬารของระบอบกษัตริย์
กอร์ปกับพัฒนาการ ‘โอนกำลังพล’ ทหารบางส่วนไปเป็นของสถาบันกษัตริย์ พร้อมสรรพกับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปเลี้ยงดู
ซึ่งจะมีการพิจารณาอนุมัติ พรก.กันในวันที่ ๑๗ ตุลาคมนี้ ที่ อานนท์ นำภา ติงว่า
“ถ้ายอมให้รัฐบาลออก พรก.โดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
การออก พรก.ก็จะกลายเป็นเรื่องตามอำเภอใจเหมือน ม.๔๔ เดิม
ที่ให้อำนาจคณะรัฐประหารไว้” อันผิดขั้นตอน และเนื้อหาใน “การให้สถาบันกษัตริย์ขยายอำนาจทางการทหาร
ย่อมไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย”
(https://prachatai.com/journal/2019/10/84727 และ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2661094703957352&set=a.188049254595255&type=3)
ย้อนไปถึงการที่ ผบ.ทบ.ออกมา ‘ซัลโว’ ซัดไม่ยั้ง เรื่องแนวคิดแก้ไขมาตรา ๑ แล้วโยงเอาพรรคฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่
ที่กำลังได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่อย่างสูงโด่ง อ้างว่าคบต่างชาติ (จีนฮ่องกง)
เพื่อล้มล้างการปกครองอันมีกษัตริย์เป็นประมุข
แทนที่จะเป็นระเบิดเถิดเทิงให้เกิดกระแสต้านฝ่ายค้านในวงกว้างได้
กลับกลายเป็นแฉความว่างเปล่าทางวิสัยทัศน์ของหัวหน้าฝ่ายทหาร ที่เกิดความรู้สึกตะหงิดภายในเครือข่าย
คสช. ว่ามุ่งหมายแข่งรัศมี ‘ไอทู้บ’ ไม่สำเร็จ
จากสองประเด็นที่มีคนให้ข้อคิด เรื่องการเกาะโพเดี้ยมเดี่ยวไมโครโฟนแบบดียวกับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ “ข้อมูลที่ ผบ.ทบ.พูดวันนี้
หลายส่วนมันมาจากข่าวลวงที่ฝ่ายสนับสนุนกองทัพ/คสช. ผลิตขึ้นมา”
‘บัส’
เทวฤทธิ์ มณีฉาย ให้ความเห็นประเด็น “ที่มีการโจมตีว่าไปจ้างชาวต่างชาติมาถ่ายหน้าโรงพักกับผู้ต้องหาการเมืองเมื่อปีก่อน
ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าชาวต่างชาติเหล่านั้นก็มีตัวตนจริงๆ” แล้วยัง ผบ. #ควายแดงดันยกมาอ้าง
ดัง “ผบ.ทบ. บอกว่าการไปเอาฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้
มาร่วมถ่ายรูปหน้าโรงพักบ้าง ไปร่วมยืนอยู่กับกลุ่มชุมนุมบ้าง
เพื่อให้เห็นว่านี่มันอินเตอร์ นี่มันเป็นสากล” ก็เป็นการนำข้อมูลประดิษฐ์มาประโคมเหมือนว่า
ผบ.ทบ.เชื่อ เฟคนิวส์เหล่านั้น
แม้กระทั่งการใช้คำน่าทึ่งอย่าง ‘ฮ่องเต้ซินโดรม’ ที่อาจจงใจสาดเสียให้แก่ผู้นำฝ่ายค้านคนหนึ่ง
แต่ผลกระทบจริงๆ ไปโดนแขกรับเชิญงานฉลอง ๗๐ ปีการสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์จีน
ที่ได้รับมอบเหรียญตราคนหนึ่งเข้า
มิหนำซ้ำ พอมีการค้นคว้าหาความหมาย ‘มิตรสหายนักวิชาการท่านหนึ่ง’ ของ อธึกกิต แสวงสุข
พบว่ามาจากคำ ‘emperor syndrome’ ซึ่ง “นักข่าวชาวอังกฤษบัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้น
เพื่ออธิบายนิสัยของเด็กชายชาวจีนแผ่นดินใหญ่
ที่เกิดในช่วงที่รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ใช้นโยบายลูกคนเดียว”
โดยที่ “ลูกชายคนเดียวนั้น
มีนิสัยใช้เงินฟุ่มเฟือยมากราวกับมีท้องพระคลังมหาสมบัติ เอาแต่ใจตัวเอง ขี้โมโห
โมโหร้าย ยึดตัวเองเป็นที่ตั้งว่าสำคัญสูงสุดเหนือทุกสิ่ง”
ดูแล้วลักษณะแบบนี้เหมือนใครบางคนที่เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศไทย
อาจต่างฐานะต่างวัย แต่บุคคลิกอย่างนั้นทำให้บรรยากาศของการอยู่ร่วมกันในสังคมอึดอัดและขัดข้อง
สำหรับคนจำนวนมากที่ต้องการสูดอากาศบริสุทธิ์ของการมีเสรีภาพ
เป็นที่น่าสังเกตุว่าเมื่อพรรคฝ่ายค้านใหญ่รายหนึ่ง
“กดดันให้นายกฯ ตั้งคณะกรรมการสอบพฤติกรรม
ผบ.ทบ.ว่ารัฐบาลไม่ได้ใช้กองทัพเป็นเครื่องมือทางการเมือง” ปฏิกิริยาจากประยุทธ์กลับ
“ชวนให้ทุกฝ่ายเลิกทะเลาะเบาะแว้งกัน เพื่อเดินหน้าปฏิรูปการเมือง”
หาว่า “ถ้าเป็นแบบนี้การ
เมืองก็ปฏิรูปไม่ได้ นักวิชาการ นักการเมือง รัฐบาล ประชาชน ทำอะไรต้องร่วมมือกัน
ถ้าไม่ร่วมกันจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ต้องร่วมใจก้าวไกลยั่งยืน”
ฟังดูอาจเหมาเอาง่ายๆ ว่าให้ท้ายลูกน้อง
แต่เมื่อทบทวนบริบทแวดล้อมชวนให้ตีความว่า รักษาระยะห่าง
‘equidistance’ ไว้บ้าง ดุว่าข้างหนึ่งพร้อมๆ
กันไปกับปรามๆ อีกข้าง ไม่เช่นนั้นตัวหัวหน้าใหญ่เองจะเสียหะมา
ที่ปล่อยลูกน้องพูดจาเสล่อได้ปานนั้น