ค่าฝุ่นจิ๋วในกรุงเทพฯ ดีขึ้นบ้างแล้ว
นักวิ่งหลายหมื่นออกไปมาราธอน ‘วิ่งผ่าเมือง’
กันครื้นเครงเมื่อวาน (๓ กุมภาพันธ์) แต่ปัญหาอากาศพิษก็ยังไม่พ้นความน่าสะพรึงกลัวได้ง่าย
ขนาด ‘หนูดี’ เจ้าของวลี “กลัวผู้นำโง่”
ที่ทุกคนรอคอยคอมเม้นต์ ยังอดไว้ไม่อยู่ ดาราดัง วนิษา เรซ เจ้าของเพจ ‘อัจฉริยะสร้างได้’ อุตส่าห์เก็บปากเก็บคำมาหลายปี ไม่ยอมปล่อยถ้อยอะไรให้ระคายเคืองลุงตู่เหมือนที่ทำกับ
‘อิปูว์’
คราวนี้เธอว์แค่ใส่นิ่มๆ
ว่ารอรัฐแก้ไขคงไม่ทัน ต้องหาหน้ากาก เครื่องกรองฝุ่น ช่วยตัวเองกันไปก่อน นะคะ
ทว่าวันก่อนสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกมาเตือน
“หน้ากากอนามัยที่ขายอยู่ในท้องตลาดบ้านเราทุกวันนี้ไม่มีเครื่องหมาย มอก.
(มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม)...
หากมีผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตหน้ากากยี่ห้อใดแอบอ้างนำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ของ
มอก. ไปใช้บนผลิตภัณฑ์จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายทันที”
ขณะที่กรุงเทพฯ “ทุกพื้นที่ตรวจวัดได้ระหว่าง ๒๔-๔๖ มคก./ลบ.ม.
อยู่ในเกณฑ์คุณภาพอากาศดีมาก” ถึงปานกลาง ตามรายงานของไทยพีบีเอส แต่กระนั้นคาดว่าวันที่
๔ ก.พ. “ฝุ่น PM 2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย” เท่านั้น
แต่ความหวาดหวั่นขยายออกไปถึงจังหวัดรอบนอก สระบุรี ราชบุรี
ชลบุรี ตกเป็นเป้าเมื่อเจอค่า พีเอ็ม ๒.๕ หลายแห่งพุ่งปรี๊ด โดยเฉพาะสระบุรี
“คือแบบบบ what the....พยายามรีหลายรอบมาก เพราะคิดว่ามันอาจจะผิดพลาด
แต่รีจนโทรศัพท์จะพังก็คือยังไม่ลด คือกรุงเทพก็ทำไม่ได้ ภูเก็ต
เชียงใหม่ก็อย่าได้หวัง เห้ออมมมม” ‘master of none @Nahmning1’ ทวี้ตออกอาการ
ประกอบกับบทความของ อจ.กานดา นาคน้อย ที่มติชนออนไลน์ เรื่อง
‘มหาอำนาจฝุ่น’ ชวนให้ผู้ใส่ใจตามไปเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมบนหน้าทวิตเตอร์ตามคำเชิญผู้เขียน
เช่น “จากใจคนสระบุรี” ‘jabe เนปจูน @kittichok222’ ว่า
“เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ
ปกติมันก็เยอะยังงี้แหละ เพราะอยู่ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ของ SCG ระเบิดเขา ขุดหาหินปูนมาทำปูนทุกวัน
แต่เพิ่งมีคนเพิ่งมาสนใจวัดค่ามันตอนนี้” เช่นเดียวกับ ‘ลูกพีช 🍑
@littlepeachsh’ บอก
“ค่าฝุ่นสูงเพราะโรงปูนและโรงงานเยอะ
ยิ่งแถวแก่งคอย เฉลิมพระเกียรติ หน้าพระลาน โรงงานเรียงกันเป็นตับ
และไม่มีการควบคุมการปล่อยควันจากโรงงานด้วย” แม้ว่า “รัฐบาลก็ยกระดับ ขอให้ชาวไร่อ้อยหยุดเผาไร่ [3] ขอให้โรงโม่หินที่สระบุรีปิดชั่วคราว [4] ขอให้โรงงานโอ่งที่ราชบุรีหยุดเผาโอ่งชั่วคราว [5] และห้ามรถบรรทุกเข้ากรุงเทพฯชั้นใน [6]”
กระนั้นกลับ “มีข่าวสวนทางว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ ทำเหมืองหิน ๘ โครงการ ประกอบด้วยคำขอประทานบัตรและคำขอต่ออายุประทานบัตรจำนวน ๓๔
แปลง คิดเป็นพื้นที่รวม ๑๔,๑๒๑ ไร่”
การอนุญาตและต่ออายุประทานบัตรชุดใหม่นี้เป็นโครงการเหมืองแร่หินเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
การก่อสร้าง และหินอ่อน มูลค่า ๑๖๙ แสนล้านบาท ที่อ้างว่า “จะทำให้มีหินปูนซีเมนต์ใช้ไม่ขาดและต่อเนื่อง”
อจ.กานดาชี้ว่า “ไม่สอดคล้องกับสถิติส่งออก ไทยผลิตปูนซีเมนต์มากเกินความต้องการในประเทศ จนไทยกลายเป็นผู้ส่งออกปูนซีเมนต์อันดับ
๑ ใน ๓ ของโลกมา ๒๐ ปีแล้ว” ปัจจุบันอยู่ที่อันดับสองรองจากจีนซึ่งเจอปัญหาฝุ่นพิษในอากาศขนาดหนักอยู่หลายพื้นที่
“ถ้าการปิดโรงงานโม่หินที่สระบุรีชั่วคราวตามที่รัฐบาลขอร้องจะทำให้มลพิษอากาศที่สระบุรีลดลงได้ ก็จะหมายความว่ามาตรฐานสิ่งแวดล้อมของโรงโม่หินในไทยต่ำกว่าญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก ถ้าเป็นเช่นนั้นภาครัฐจะส่งเสริมการส่งออกปูนซีเมนต์เพื่ออะไร”
(https://www.matichon.co.th/politics/news_1347966 และ https://www.prachachat.net/economy/news-284093)
คงหมายถึงมูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์ที่ไปกระจุกอยู่กับกลุ่มอุตสาหกรรมในเครือซีเมนต์
จะคุ้มกันหรือกับความเสื่อมทรามในสุขภาพของประชากร
นพ.รณชัย
คงสกนธ์ นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยเล่าความว่า
“ผมได้ถามคลินิกกว่า ๑๐ แห่งถึงเรื่องสถิติการรักษา ได้รับคำตอบว่าช่วงนี้คนป่วยเพิ่มขึ้นกว่า
๓ เท่า และส่วนใหญ่เป็นเด็ก
ความเจ็บป่วยเหล่านี้นำไปสู่ปัญหากองทุนสุขภาพ
ที่ค่ารักษาเพิ่มเป็นแสนกว่าล้านต่อปีแล้ว และถ้าฝุ่นละอองจิ๋วนี้เพิ่มประมาณขึ้นอีก ตัวเลขตรงนี้ไม่หยุดแน่ๆ”
พร้อมทั้งอ้างสถิติองค์การอนามัยโลก
“๙๑ เปอร์เซ็นต์
ที่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุเกิดจากฝุ่นละอองพิษ โดยแนะว่าถ้าทุกประเทศทำให้อากาศอยู่ในระดับที่ไม่เกิน
๑๕ ไมโครกรัม (มคก.)/ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คนในพื้นที่นั้นจะมีอายุยืนขึ้น ๒๐ เดือน”
และที่น่าตกใจไปกว่านั้น
นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ อายุรแพทย์ผู้เชียวชาญด้านโรคปอด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เสริมว่า “ค่าเฉลี่ยที่กรมมลพิษกำหนดเป็นการหมกปัญหา ซุกฝุ่นไว้ใต้พรม ค่าเฉลี่ยที่เชื่อถือได้คือขององค์การอนามัยโลก...
ค่าเฉลี่ยรายวันและรายปีของไทยตั้งค่าเฉลี่ยไว้สูงไป
เมื่อสูงมากแล้วค่อยมาเริ่มเตือนเหมือนเป็นการลวงประชาชน
ดัชนีอากาศของไทยไม่เป็นมิตรต่อสุขภาพ”
แทนที่จะกระแนะกระแหนการสวมหน้ากากเชิงสัญญลักษณ์ ต่อคณะนายแพทย์ที่ออกมาแสดงความเห็นเตือนภัยสาธารณะเหล่านั้น
คนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล แม้จะมีอำนาจบาตรใหญ่ที่แย่งเขามา น่าที่จะสำเหนียกฟังแล้วให้ลิ่วล้อที่ปรึกษาช่วยจับยัดใส่หัวเอาไปปรับใช้
หากขาดแคลนวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ
แล้วยังบ้วนสิ่งปฏิกูลออกมาเป็นคารมรายวัน การผลักดันให้บุคคลชนิดนี้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก
เท่ากับสมรู้กับการบ่อนทำลายชาติ ด้วยการให้ผีปอบเกาะกินเนื้อในไส้พุงของประเทศไม่รู้จบสิ้น