จะครบสิบอยู่แล้วเนี่ยนะ ปลาในข้องของหม่อมเต่า (กรุง) พวกอดีต
กปปส. ที่ออกมาขอคืนนกหวีดบ้าง ตอกหน้าสุเทือกไหนว่าจะไม่เล่นการเมืองบ้าง “จะอดตายกัน
ยังจะมาเดิน (หาเสียง) อีก” อย่างรายหนึ่งว่า
คนเหล่านั้นที่ปรากฏตัวในหลายพื้นที่ เยาวราช สีลม
หลายจังหวัด ระยอง ปราจีน ไว้รอดูภาคใต้ด้วยแล้วกัน ไม่มีแววว่าจะถูกว่าจ้างมาอย่างที่นายสุเทพ
เทือกสุบรรณ สักแต่มุสากล่าวหาลอยๆ เอาตัวรอดไปที
“ได้เจอเรื่องตื่นเต้นทุกวัน
มีทั้งก่อกวนแสดงความไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย เอานกหวีดมาคืนพร้อมถุงปุ๋ย
ซึ่งตนรู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเตรียมตัวมา
เพื่อเสียดสีตนเองที่เคยเดินเรี่ยไรเงินเมื่อปี ๒๕๕๖–๒๕๕๗” เทือกยอมรับเองแหละว่า การเดินคารวะแผ่นดินไม่ได้มีการตอบรับจากประชาชนอย่างที่แถลงเป็นตุตะ
ที่ ดร.อาทิตย์
อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต คนกันเองเจ้าของสถาบันศึกษาที่ ‘ยะใส’ อดีตพันธมิตรฯ
ไร้น้ำยา ใช้คุ้มกะลาหัวตลอดมาจนได้ร่วมงานพรรคการเมือง รปช. (รวมพลังประชาชาติไทย)
แห่งนี้ หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ให้
“เลิกเถอะ..คนไม่เชื่อถือแล้ว”
นั้นไม่เพียงควรฟัง แต่จักต้องพยายามทำตามให้ได้ ยังไงก็เห็นกับลุงตู๊บจะได้ไม่ตกต่ำไปกว่านี้
เพราะคนที่ออกมาคืนนกหวีดและสาดเสียใส่คณะเดินคารวะแผ่นดิน เขาไม่ใช่แค่บริภาษณ์บุคคล
แต่เลยเถิดไปถึงความเลวร้ายของรัฐประหารและความชั่วช้าของ คสช.ด้วย
ม.ร.ว. จตุมงคล
โสณกุล ว่า “คนที่เป็น กปปส. มีประมาณ ๕-๗ ล้านคน นานาจิตตัง...วันนี้คนเรามีความคิดเปลี่ยนไป
วันนี้ต้องเลือกพรรคนี้ก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเอานกหวีดมาคืนหรือเขียนต่อว่าอะไร ซึ่งเล่นการเมืองต้องอดทน”
และว่า “กระแสตอบรับทางลบนี้ตนเห็นว่าเป็นเรื่องของปลาตัวเดียว
ท่ามกลางพันตัว” ทั่นน่าจะใช้ทักษะภาษาไทยผิดๆ ก็ได้ มันไม่ใช่ ‘ตัวเดียว’ แน่ ถ้าจะว่าพันธุ์เดียวกันคงใช่
ประชาชนน่ะเขารู้จักใช้สติปัญญาตัดสินเลือกใครแน่
เพียงแต่อย่าได้มีคนเที่ยวไปยัดข้อมูลโกหกตอแหลให้ หลายๆ
คนอาจไม่รู้ทันอย่างพวกอดีต กปปส. ที่รู้เช่นเห็นชาติกันมาก่อนแล้ว
ฟังจากที่อดีต
กปปส. คนนี้ว่าไว้ยาวเหยียดทางเฟชบุ๊ค “วันนี้ขอทวงบุญคุณทั้งต้นและดอกเบี้ยกับนายสุเทพและพวกที่ทำให้ประเทศหายนะ
#สุเทพอยู่ไหนกูจะเอานกหวีดไปเป่าไล่มรึง #คนเมื่อไร้สัจจะคุณค่าก็แค่อากาศไม่มีราคาให้จดจำ”
เขายืนยัน “ผมนี่แหละอดีต กปปส....นายสุเทพเลิกพูดเสียทีว่าผู้คนที่คัดค้านไม่ใช่กปปส.”
นายปนิธิ แสนปราชญ์ ประกาศลั่นอินเตอร์เน็ต เขาจึงโดนทหารบุกรุกไปเยี่ยมถึงบ้านที่เป็นโรงงาน
ทำให้เขาต้องแพร่ภาพสดทางเฟชบุ๊คไล้ฟ์แจ้งว่า “มีเจ้าหน้าที่ทหาร
๓ นาย เดินทางมาที่บ้านโดยไม่ได้รับเชิญ” เปิดประตูเองเข้าไปเลย “แล้วเดินเข้าไปในโรงงานทั้งที่ยังไม่ได้อนุญาต”
นายปนิธิเล่าด้วยว่าตนถามทหารสามนายนั้นว่าจะมาจับกุมหรือ
ได้รับคำตอบว่า “เปล่า จะมาคุยดีๆ ไม่มีจับกุม แต่จะมาดูความเรียบร้อยเฉยๆ
เจ้านายอยากคุยด้วย”
อย่างนี้นี่ละคือการก้าวร้าวที่ฝ่ายทหารทำกับประชาชน ไม่ว่าประชาชนนั้นจะเป็นอดีต
กปปส. อดีต นปช. ที่วิพากษ์วิจารณ์การปกครองประเทศของ คสช.
ว่าไม่สามารถแก้ไขความเดือนร้อนของประชาชนได้ อย่างเช่นข้อเขียนของนายปนิธิ
“นับเป็นเวรกรรมของคนในชาติเสมือนวิ่งหนีเสือกับเจอตัวเหี่ย
(ขออนุญาตไม่แก้เขียนผิด)...อาการหนักกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย...เศรษฐกิจประชาชนหาเช้ากินค่ำตายสนินประเทศเข้าสู่ความหายนะ
กำลังซื้อหดหายประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศแทบล้มละลายต้องงัดบุญเก่าที่สะสมไว้แต่เดิมมากินจนหมด”
ที่สุเทือกอ้าง “คน กปปส.ไม่มีทางเกลียดผมขนาดนี้”
จะเป็นจริงได้ถ้าไม่ใช่ “สิ่งที่เราประชาชนทำลงไปมันคือการถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือของนายสุเทพและพวกแกนนำ
กปปส.” ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นอดีต กปปส. ประกาศว่า
“พอกันทีความมืดบอดที่ปิดตาประชาชน หยุดย่ำยีประเทศชาติได้แล้ว
คืนความชอบธรรมให้แผ่นดินได้แล้ว เพราะเวลาการก่อกรรมให้ประเทศของพวกคุณใกล้จะหมดแล้ว”
แน่ละ นายสุเทพและ ‘เทือก’ ของเขาคงไม่หยุดและ
‘ไม่พอ’
จนกว่าเป้าหมายของพวกเขาจะบรรลุผลเมื่อเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง
กว่าจะถึงตรงนั้นประชาชนและบ้านเมืองคงจะถูกกระทำย่ำยีทุกวิถีทาง
เพื่อให้พรรคการเมืองที่สนับสนุน คสช. ได้รับเลือกตั้งเพียงพอทำให้ดันหัวหน้าคณะรัฐประหารกลับมาเป็นผู้ปกครองสูงสุดได้อีก