วันอาทิตย์, ตุลาคม 16, 2559

สามวันผ่านไป ผู้คลั่งไคล้ก็ยังกระชับปฏิบัติการณ์ล่าแม่มดต่อไป ดีว่าคนเหล่านั้นไม่ได้อ่านข่าวจากต่างประเทศภาษาอังกฤษกัน





สามวันผ่านไปในการส่งเสด็จพระเจ้าอยู่หัวในโกศสู่สวรรคาลัย ผู้คลั่งไคล้ก็ยังกระชับปฏิบัติการณ์ล่าแม่มดต่อไป

เที่ยวมองหาคนเลวของแผ่นดิน ที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าดำหรือทำหน้าโซเชียลมีเดียเป็นสีซีดเทา กันยกใหญ่





ดังตัวอย่างการโต้ตอบทางทวิตเตอร์ ‘JeTi เอวเอส ‏@chiwinx’ 11 hours ago “พนักงานร้านอาหารบางคนไม่ใส่เสื้อดำ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ไว้อาลัย ตอนนี้เสื้อยืดธรรมดาราคาทะลุไป 300฿ แล้ว มันแพงเกินไปสำหรับคนหาเช้ากินค่ำนะคะ”

ส่วน ‘พี่ ข้าวกล้อง ‏@SaHuaKi_xoxo’ 3 hours ago ไปไกลกว่านั้นนิดนึง “ถ้าใจสะอาด ใส่เสื้อสีฉูดฉาดก็ไม่ผิด แต่ถ้าใจวิปริต ถึงจะใส่เสื้อดำปกปิด แต่จิตก็ดำสกปรก”

‘เสื้อดำ’ กลายเป็นปัญหาของชาติ เมื่อวานทางการต้องประกาศห้ามผู้ค้าโก่งราคาเสื้อผ้าสีดำ วันนี้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดูแลเรื่องการแต่งกายของผู้มีรายได้น้อย”

“ล่าสุดโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตรียมเสนอให้ติดเครื่องหมายสัญลักษณ์ไว้อาลัย เช่นการติดริบบิ้น หรือผ้าดำแทนการแต่งกาย”

(https://www.pptvthailand.com/news//36964)





เฮ้อ โล่งอกไปได้หน่อยที่การ ‘ไม่ดำ’ ไม่ทำให้พสกนิกรจำนวนหนึ่งต้องถูกทำร้ายฆ่าแกง เหมือนช่วงต้นเดือนนี้เมื่อปี ๑๙

แต่ก็ยังไม่พ้นการล่าแม่มดชนิดคล้าสสิก (ด้วย ม.๑๑๒) วันก่อนร้านน้ำเต้าหู้ที่ภูเก็ตโดนฝูงผู้จงรักภักดีดุจคุณทองแดงยกโขยงกันไปห้อมล้อมจะเอาเรื่องให้ได้ ฐานที่เจ้าของร้านโพสต์ข้อความเพียงว่า “ทุกคนต้องตายเป็นธรรมดา”

เมื่อคืน (๑๕ ต.ค.) ร้านโรตีที่ตะกั่วทุ่ง พังงา ถูกฝูงคนรักพ่อหลวงไปรุมล้อมเพื่อจะเอาตัวลูกชายเจ้าของร้านออกมาขอขมา โทษฐานเขียนข้อความทำนอง “เคยบอกรักพ่อของตัวเองแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า”

(http://prachatai.com/journal/2016/10/68379)

สุดท้ายปลัดจังหวัดต้องสัญญาจะทำการสอบสวนแล้วแจ้งผลภายใน ๑๕ วัน ฝูงคนเลยพากันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีจนชุ่มฉ่ำใจ แล้วจึงสลายชุมนุมแยกย้ายกันกลับ

อีกเฮ้อ ดีว่าคนเหล่านั้นไม่ได้อ่านข่าวจากต่างประเทศภาษาอังกฤษกัน ไม่งั้นคงแห่ไปล้อมสำนักพิมพ์ในอังกฤษ อเมริกา หรือออสเตรเลีย กันสนุก และถ้าการบินไทยบริการเที่ยวบินฟรีแก้ผู้ประท้วงด้วยยิ่งมันส์

เห็นจากทวี้ตของ ‘Piriyathep K ‏@PKinbangkok’ 15 hours ago “There is a minefield full of Western news about the CP this morning...that I dare not retweet. A concerted effort or something?”

- I ‘dunt’ know, I do not dare, neither.

อ้าว ไหน ‘Lisa Gardner ‏@leesebkk’ สื่อมวลชนด้าน human rights ชาวออสเตรเลียที่คุ้นเคยเรื่องเมืองไทยบอกว่า “Very little English language media reporting outside of Bangkok re: passing of King Bhumibol #Thailand” ไงล่ะ

ที่เห็นๆ นอกจาก BBC, The Guardian และ The Economist เมื่อสามวันที่แล้ว ก็มี The New York Times เมื่อวานซืน ที่เอ่ยถึง the crown prince อย่าง critical ทว่าเนื้อหาส่วนอื่นๆ ล้วนถูกต้อง





โดยเฉพาะตรงที่บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระปรีชาสามารถ (ท่ามกลางการชักนำและเกื้อหนุนของเจ้านายชั้นในของราชสำนักพระองค์อื่นๆ) ช่วงชิงและกอบกู้พระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์กลับคืนมาจากคณะราษฎร ที่ก่อการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ ได้

ดิ เอ็คคอนอมิสต์ กล่าวถึงความเสี่ยง (ทางการเมือง) ที่การสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวจะนำมา อาจเปลี่ยนไปเป็นโอกาสก็ได้

“ถ้าหากกษัตริย์วชิราลงกรณ์ทรงละเสียจากการแทรกแซงในการเมือง ความหวาดระแวงของพวกทหารนายพลว่าทักษิณจะกลับมาคงจะเหือดหายไป”

(http://www.economist.com/…/21708740-death-king-leaves-vacuu…)

ส่วนเดอะนิวยอร์คไทมส์ฉบับวางแผงในนิวยอร์คมีทั้งบทบรรณาธิการ (The King Who Personified Thailand.) และบทความพิเศษ (Thailand Looks to Likely Future King with Apprehension.) ซึ่งเขียนโดย อลิสัน สเมล กับ ธอมัส ฟุลเลอร์

บทความเอ่ยถึงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มูลค่า ๓๑ บิลเลี่ยนดอลลาร์ หรือราว ๑ ล้านล้านบาทว่า

“การขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระบรมฯ อาจทำให้เกิดการพิจารณาที่ค้างคาและไม่มีการพูดถึงมาก่อน ว่าทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของส่วนพระองค์ภายในราชวงศ์ หรือว่าเป็นทรัพย์สินสาธารณะของประเทศ”

บทความยังกล่าวถึงว่าที่ราชินีองค์ใหม่ ยังเป็นความลับไม่ทราบจะเป็นใคร แต่รายงานว่า “อดีตพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา ได้ออกงานราชพิธีเคียงข้างสมเด็จพระบรมฯ เธอได้รับการติดยศให้เป็นพลตรีหญิง”

(http://www.nytimes.com/…/thailand-looks-to-likely-future-ki…)

“กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศเผยว่าเขาได้พบกับคุณสุทิดาหลายครั้งระหว่างที่เขายังรับราชการอยู่” เดอะนิวยอร์คไทมส์โคว้ตคำของกษิตด้วยว่า “เธอเป็นแอร์โฮสเตส ร่าเริงอย่างยิ่ง ฉลาดเฉลียวมาก เธอเล่นสกี ชอบขี่จักรยาน รักดนตรี เธอรู้ว่าไวน์ไหนดีในอิตาลี่”

“คุณสุทิดาดูเหมือนจะอยู่กับพระบรมฯ ในบาวาเรีย” บทความเล่าถึงการประทับในแคว้นบาวาเรีย เยอรมนี ของสมเด็จพระบรมฯ ว่าทรงซื้อวิลล่าสองหลังไว้เมื่อปีที่แล้ว หลังหนึ่งริมทะเลสาปสตาร์นเบิร์กในทุตซิง ราคา ๑๓ ล้านดอลลาร์ อีกหลังอยู่ในชุมชนเฟลดาฟิงมูลค่า ๕.๕ ล้านดอลลาร์

โดยเฉพาะวิลล่าที่สตาร์นเบิร์กเป็นคฤหาสน์ ๓ ชั้นอยู่กลางแมกไม้ มิดชิดจากสายตาคนภายนอก แต่นายกเทศมนตรีของเฟลดาฟิงยอมรับว่าพระบรมฯ ทรงเป็นผู้อยู่อาศัยในชุมชนนั้นจริง

คำแถลงของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม หลังจากเข้าเฝ้าฯ พร้อมกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ “ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ว่าทรงมีพระราชปรารภ “ขออย่าให้ประชาชนเกิดความสับสนหรือกังวลใจใด ๆ เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน หรือแม้แต่การสืบราชสันตติวงศ์ เพราะเรื่องนี้มีรัฐธรรมนูญ กฎมณเฑียรบาลและจารีตประเพณีกำหนดไว้แล้ว”

“ช่วงเวลานี้ทุกคนทุกฝ่ายแม้แต่พระองค์ท่านเอง อยู่ระหว่างความเศร้าโศก โทมนัสอาลัย จึงควรให้ทุกฝ่ายช่วยกันทำให้รู้สึกว่าเราผ่านพ้น หรือบรรเทาความวิปโยคอาดูรนี้ไปได้บ้างก่อนเถิด...

เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศล และพระราชพิธีพระบรมศพผ่านพ้นไปแล้วระยะหนึ่ง ก็น่าจะถึงเวลาสมควรดำเนินการต่อไปได้”

จึงเป็นที่แน่นอนว่าไม่น่าจะมีราชพิธีทรงราชย์จนกว่าจะเสร็จสิ้นงานพระศพ ซึ่งคงไม่ใช่ใน ๑ เดือนหรือ ๑๐๐ วัน อาจนานถึง ๑ ปี

ก็หวังว่าในช่วงรอทรงราชย์นี้ ความโศกาอาดูรจะไม่เปลี่ยนไปเป็นความเคียดแค้นชิงชัง ร้าวลึกต่อกันและกันในหมู่พสกนิกรไปมากกว่าที่เป็นมา