แม้จะแค่ข่าวเล็ดลอด ที่ว่าองค์รัชทายาทจะเริ่มเสด็จทรงราชย์ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ศักราชนี้
ก็นับว่าเป็นข่าวดีไม่น้อย เมื่อราชอาณาจักรจะได้เข้าสู่ทำนองปกติของหนึ่งในสองเสาหลักรัฐไทย อันมีพระมหากษัตริย์เคียงคู่กับรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญจะยังชั่วคราวอยู่ไม่เป็นไร ลุ้นกันต่อได้ พระมหากษัตริย์ไม่ชั่วคราว no more ดีกว่า อย่างน้อยก็สยบเสียงซุบซิบของสลิ่มเรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปได้ ช่วยไม่ให้พวกเสื้อแดง ‘softcore’ ไม่ต้องกลายเป็นแพะล้มเจ้าอย่างเก่า
มาเข้าถึงรายละเอียดข่าวเล็ดเสียก่อน จากนั้นค่อยว่าเรื่องผลกระทบการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลชั่วครั้ง (ที่ลิ่วล้อ สนช. อยากจะเป็นชั่วนาตาปี)
จากกรณีมีภาพเอกสารบันทึกการประชุม กองกิจการในพระองค์ฯ หลุดออกมา รายละเอียดแย้มว่า
“ในวันที่ ๑ ธ.ค. ๕๙ ทางคณะรัฐบาลจะถวายบังคมทูลเชิญเสด็จ ๙๐๔ ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...
๒.๒ คำว่า ‘พระราชบัณฑูร’ เมื่อสถาปนาแล้วเปลี่ยนเป็น ‘พระราชโองการ’ และหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ให้ใช้ ‘พระบรมราชโองการ’...
๓.๑ หลังจากวันที่ ๑ ธ.ค. ๕๙ การเชิญธงประจำพระองค์ ให้เชิญธงเยาวราชลง และเชิญธงมหาราชขึ้น ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เวลา ๑๘.๐๐ น. ของวันที่ ๒ ธ.ค. ๕๙...
๕. ออกแบบพระราชลัญจกรใหม่ พระนามาภิไธยย่อ วปร.”
แล้วยังระบุด้วยว่าให้ใช้คำขึ้นต้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล (ลำดับเลขที่ เลขคู่) ว่า ‘พระปรเมนทรมหา’
ลงชื่อ พ.อ.ธนวัสน์ พัฒนทอง นายทหารเวรผู้ใหญ่ประจำวัน ๒๐ ต.ค. ๕๙
ใครที่อ่านบทความเรื่อง 'What's going on in Thailand?' ของ Andrew Macgregor Marshall ที่เว็บ New Mandala แล้วใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ก็หมดห่วงได้
ส่วนดีมีอย่างไร ข้อแรก “สนช.จะทำการจัดสัมมนา โดยเชิญคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และตัวแทนจากองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงเจตนารมณ์ของการจัดทำร่างกฎหมายลูก” ในวันที่ ๑๔ พฤศจิกายนนี้
ซึ่งก็น่าที่จะเร่งพิจารณากัน ในเมื่อต้นเดือนธันวาจะมีในหลวงองค์ใหม่คอยลงพระปรมาภิไธยอยู่แล้ว
โดยที่ตอนปลายเดือนตุลาจะเร่งพิจารณาประเด็นไล่เบี้ย ‘ฟัน’ พรรคเพื่อไทยกรณีเสียบบัตรแทนกัน และการแก้ไขร่างรัฐธรรมเรื่องที่มา สว. ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เสร็จๆ ไปเสียก่อน
(http://www.matichon.co.th/news/332555)
เฉพาะประเด็นสำคัญที่มีการเสนอให้ ‘เซ็ทซีโร่’ องค์กรอิสระทั้งกระบิ งานนี้อดีต กกต. สดศรี สัตยธรรม ออกมาให้ความเห็นหนุน พล.อ.นคร สุขประเสริฐ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ว่า
“เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่คุณสมบัติของกรรมการองค์อิสระเปลี่ยนแปลงไปมาก หากจะเริ่มต้นใหม่เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ ทุกองค์กรอิสระก็ควรเริ่มต้นรีเซตใหม่ทั้งหมดด้วย”
(http://www.thairath.co.th/content/762152)
อีกข้อ กรณี ‘ฟัน’ นโยบายจำนำข้าวยิ่งลักษณ์ หลังจากให้กระทรวงการคลังทำหน้าที่ตุลาการ ‘ตบทรัพย์’ อดีตนายกฯ หญิงเป็นค่าเสียหาย ๒๐ เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด จำนวน ๓.๕ หมื่นล้านบาท ไปแล้ว
ตานี้กระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่การคลังบ้าง ไล่บี้จี้กระทรวงพาณิชย์ให้ตามเก็บเบี้ยใส่ใต้ถุนร้าน ส่วนที่เหลืออีก ๘๐ เปอร์เซ็นต์ จำนวน ๑.๔๒ แสนล้านบาท
ข่าวอ้างนางดวงพร (รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์) กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีให้นโยบายชัดเจนว่าเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการจำนวนมาก”
(http://www.matichon.co.th/news/332412)
คงหมายความว่าให้ทุกฝ่ายได้จ่ายถ้วนหน้ากัน “นักการเมืองและข้าราชการ ๖ ราย ที่จะต้องชดใช้ค่าเสียจากการระบายข้าวจีทูจี มูลค่ารวม ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท” เฉลี่ยกันไป อดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งต้องจ่าย ๑,๗๗๐ ล้าน อีกคน ๒,๓๐๐ ล้าน ผอ.สำนักค้าข้าวอีกคนละ ๔ พันล้าน ดังนี้เป็นต้น
อ้อ แล้วก็กรณีฟันยิ่งลักษณ์ มีแฟนคลับชื่ออวตาร ‘คน ตัดเซียน ต้องเลือกตั้ง มาทุกองค์กร 1คน 1สิทธิ์’ วิเคราะห์ว่าเป็นแผนเชือดแยบยลของ “คนชั่วๆ ทำงานเป็นทีม”
เขาว่า “แผนนี้มีแต่ชนะ ไม่มีแพ้ / ถ้าจ่าย...เท่ากับ ยอมรับว่าผิด..// ถ้าไม่จ่าย ก็ฟ้องล้มละลาย..!!! สรุปง่ายๆ...แค่กำจัดเทอออกไปจากเส้นทางการเมืองเท่านั้น. /// ยิ่งหนีไป...ยิ่งเข้าทาง”
ที่ว่าเป็นส่วนดีตรงนี้ก็คือ จะฟันกันอย่างไรก็ขอให้อยู่ในพระเนตรพระกรรณขององค์พระประมุข ดีกว่าผู้สำเร็จราชการฯ นั่นแหละ
อีกส่วนดีอยู่ที่ เมื่อมีองค์พระประมุขตัวจริงเสียงจริง ‘in flesh and blood’ ทรงทอดพระเนตร เงี่ยพระกรรณ ต่อโร้ดแม็พสร้างปรองดองไปสู่ประชาธิปไตยยั่งยืน น่าจะทำให้การบริหารจัดการรัฐกิจอย่างลักลั่นหมดไปหรือลดลงได้บ้าง
อย่างเรื่องรถไฟเร็วปานกลางที่จะสร้างด้วยฝีมือมหามิตรมังกรจากเหนือ วงเงินเกือบ ๑ แสน ๘ หมื่นล้านบาท ที่ตกลงว่าจ้างจีนสร้างและฝึกสอนวิธีใช้ ซื้อวัสดุอุปกรณ์และกู้เงินลงทุน แถมอาจต้องจ้างจีนบริหารจัดการและดูแลรักษาด้วย
โดยจะเริ่มลงมือก่อสร้างนำร่องที่กลางเส้นทาง ช่วงสถานีกลางดง-ปางอโศก ระยะ ๓.๕ กิโลเมตรเท่านั้น จนป่านนี้ได้แค่จะเจรจาเป็นครั้งที่ ๑๕ ตอนปลายเดือนตุลานี้ ยังไม่รู้ลูกผีลูกคน
เพราะค่าก่อสร้าง ๕๓,๘๒๓ ล้านบาทยังตกลงอัตราดอกเบี้ยกันไม่ได้ ขนาดพี่จีนให้เรทพิเศษแล้วยังสูงเกินไป ไทยอยากได้ไม่เกิน ๒ เปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้นกระทรวงคมนาคมโดนด่ายับ
นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าภายใน ๒ สัปดาห์ “จะนำเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการได้ ตั้งเป้าหมายเสนอ ครม.และเปิดประมูลเดือนพฤศจิกายน เริ่มก่อสร้างในเดือนธันวาคมนี้”
(http://www.matichon.co.th/news/331077)
อ้า ได้เฉลิมฉลองการสถาปนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่พอดี