'มท.1' ซัดการเมืองไทย 'เล่นพรรคพวก' ทำชาติล้าหลัง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
28 กันยายน 2559
"รมว.มหาดไทย"ซัดการเมือง "เล่นพรรคพวก" ทำไทยล้าหลัง-แตกแยก ชี้ต้องใช้กฎหมายสางปัญหา ลั่นรัฐบาลใหม่กำหนดนโยบายให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การบูรณาการ การให้บริการสาธารณูปโภค เพื่อพัฒนายกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของประเทศไทย” เนื่องในโอกาสครบรอบวันสถาปนา 56 ปี กฟภ. พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกฟภ.หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมภายในงาน
โดยพล.อ.อนุพงษ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาประเทศชาติของเราแตกแยกมามากจนเกินไปแล้ว ทำให้ไม่พัฒนา และเสียโอกาสไปมาก ถ้าไม่ขัดแย้งกันจนเลือดตกยางออก ก็ขัดแย้งกันในการบริหารประเทศ วัฒนธรรมก็เปลี่ยนไป คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่อยู่ในศีลธรรมเท่าไหร่ ในขณะที่ประเทศอื่นก้าวไกลไปมากแล้ว แต่เรายังทิงนองนอย ไม่ยอมไปไหน เพราะการเมืองเข้ามายุ่งทำให้เกิดความวุ่นวาย อ้างประชาธิปไตยบ้าง หรือ 2 มาตรฐานบ้าง ตนไม่เถียงเพราะประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี แต่มันจะต้องดีจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยจอมปลอม เวลาตนลงพื้นที่ต่างจังหวัด มักพูดกับประชาชนตลอดว่า ที่ผ่านมามีการซื้อเสียง คนในชาติรู้ดี จนเกิดเป็นคดีก็มากมาย และจับไม่ได้ก็มี
“ภายใต้การเมืองไทยมีระบบพรรคพวก หัวคะแนน มันทำให้ประเทศไม่เจริญ เรื่องนี้จะมาเถียงผมไม่ได้หรอก มันแตกแยกมาพอแล้ว ต่อจากนี้ก็ขอให้ยุติที่กฎหมาย เพราะไม่มีทางแก้อื่น นอกจากจบที่กฎหมายมาแก้ความขัดแย้ง ที่ผ่านมามีม็อบ มีกองกำลัง มีการใช้อาวุธจริง และยังซักทอดกันไปมาด้วย นี่คือความเลวทราม ทำให้การพัฒนาด้านต่างๆล่าช้า จนทำให้ต้องขายทุกอย่างกิน ไม่ว่าจะความเป็นไทย ธรรมชาติ โบราณสถาน และอีกมากมาย ขอให้รู้ไว้เลยว่า ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้นต้องไม่เอาประเทศมาอ้าง หรือแม้แต่กระทั่งถ้าคิดว่า ผมผิดก็ฟ้องมา ประเทศถึงจะเดินได้ แต่อย่ามาพูดลอยๆ ฟังกันไปเรื่อย ขณะที่สื่อมวลชนเองก็เอาไปลง เวลาจะฟ้องก็ลำบาก เพราะเขียนเลี่ยงไปเลี่ยงมา” รมว.มหาดไทย ระบุ
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ถ้าเราไม่ยึดถือความมั่นคงที่ถูกต้อง วันหนึ่งจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ต้องหอบผ้าหนีเหมือนในหลายๆประเทศที่มีภาวะสงครามกลางเมือง ดังนั้นอย่าทำต้องสามัคคี ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน ตนเห็นพัฒนาการทางการเมืองมาตามลำดับ มีการใช้ประชาชนมาหนุนตัวเอง เพื่อคะแนนเสียง และสร้างความขัดแย้ง ประเทศจึงไม่เดินไปไหน ความเจริญไม่ก้าวหน้า หยุดอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นเราอย่าให้เขากลับมาทำแบบนั้นได้อีก ปัญหาที่สำคัญคือคนในประเทศได้รับผลกระทบจากการเมืองทั้งสิ้น ยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีระบบพรรคพวก เพราะฉะนั้นเราต้องปรับตัวทุกอย่าง โดยยึดหลัก ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนความมั่นคงต่างๆมาเป็นกรอบในการดำเนินงาน ซึ่งรัฐบาลชุดต่อๆไปที่มาจากพรรคการเมืองควรที่จะมีนโยบายที่สอดคล้องด้วย ต้องรู้ปัญหาประชาชน พัฒนาประเทศชาติ ใช้งบประมาณให้เป็นไปตามกรอบ และค่อยๆดำเนินการไปที่ละขั้น
“ที่ผ่านมาสำหรับนโยบายประชานิยม ถามว่าดีหรือไม่ ถ้าคนที่เขาได้รับก็ต้องดี ต้องชอบ แต่ถามว่าแฟร์หรือไม่ก็ตัดสินใจกันเอง เพราะมันเป็นภาษีของประชาชนควรจะสร้างอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อชาติ แต่ถ้าเอาเงินส่วนนี้ไปให้ประชาชนเลย มันไม่พอ ยังไงก็ทำไม่ได้ เพียงแค่ทำให้คนชอบและได้ฐานเสียงจนมาเป็นรัฐบาลได้ แต่จริงๆแล้วมันทำไม่ได้ พอมีปัญหาแล้วก็มาอ้างว่าเสียงส่วนใหญ่เลือกเข้ามา แล้วก็ตีกันต่อไป รัฐบาลนี้ไม่ทำ แต่จะใช้แนวทางประชารัฐ คือการใช้พลังของทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมแก้ปัญหา” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ขอชื่นชมพนักงานการไฟฟ้าทุกคนที่ช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาไฟดับ ช่วยกันทั้งวันทั้งคืนจนสำเร็จ ทำให้รู้ความยากลำบาก แต่ก็ก็น่าเห็นใจที่บางครั้งการพัฒนาเข้าไปเขตพื้นที่ต่างๆก็ต้องขัดแย้งกับประชาชนบ้าง ดังนั้น ขอให้บริการประชาชนอย่างเข้าถึงพื้นที่ ทำให้เห็นว่าเราพัฒนาไปมาก ไม่เคยล้าหลังใคร นำสิ่งที่ดีในอดีต 56 ปีแล้ว มาพัฒนาต่อยอด หวังว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเป็นส่วนหนึ่งในการให้ประเทศพัฒนา มีความมั่นคง แม้จะยากบ้าง แต่ต้องคำนึงถึงประชาชน ก็ขอให้กำลังใจ
“เราพัฒนามาดีแล้วตั้งแต่ที่ผ่านมา จนประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ยุค 4.0 การไฟฟ้าถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ผมหวังว่าจะช่วยพัฒนา บริการประชาชน สู้เขาได้ภายใต้บริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รัฐบาลนี้จะอยู่อีกประมาณ 1 ปีก็จะพยายามช่วยเต็มที่ ผมขอชื่นชม และเป็นกำลังใจให้พัฒนาชาติ” รมว.มหาดไทย กล่าวทิ้งท้าย
"รมว.มหาดไทย"ซัดการเมือง "เล่นพรรคพวก" ทำไทยล้าหลัง-แตกแยก ชี้ต้องใช้กฎหมายสางปัญหา ลั่นรัฐบาลใหม่กำหนดนโยบายให้สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การบูรณาการ การให้บริการสาธารณูปโภค เพื่อพัฒนายกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของประเทศไทย” เนื่องในโอกาสครบรอบวันสถาปนา 56 ปี กฟภ. พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกฟภ.หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมภายในงาน
โดยพล.อ.อนุพงษ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาประเทศชาติของเราแตกแยกมามากจนเกินไปแล้ว ทำให้ไม่พัฒนา และเสียโอกาสไปมาก ถ้าไม่ขัดแย้งกันจนเลือดตกยางออก ก็ขัดแย้งกันในการบริหารประเทศ วัฒนธรรมก็เปลี่ยนไป คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่อยู่ในศีลธรรมเท่าไหร่ ในขณะที่ประเทศอื่นก้าวไกลไปมากแล้ว แต่เรายังทิงนองนอย ไม่ยอมไปไหน เพราะการเมืองเข้ามายุ่งทำให้เกิดความวุ่นวาย อ้างประชาธิปไตยบ้าง หรือ 2 มาตรฐานบ้าง ตนไม่เถียงเพราะประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี แต่มันจะต้องดีจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยจอมปลอม เวลาตนลงพื้นที่ต่างจังหวัด มักพูดกับประชาชนตลอดว่า ที่ผ่านมามีการซื้อเสียง คนในชาติรู้ดี จนเกิดเป็นคดีก็มากมาย และจับไม่ได้ก็มี
“ภายใต้การเมืองไทยมีระบบพรรคพวก หัวคะแนน มันทำให้ประเทศไม่เจริญ เรื่องนี้จะมาเถียงผมไม่ได้หรอก มันแตกแยกมาพอแล้ว ต่อจากนี้ก็ขอให้ยุติที่กฎหมาย เพราะไม่มีทางแก้อื่น นอกจากจบที่กฎหมายมาแก้ความขัดแย้ง ที่ผ่านมามีม็อบ มีกองกำลัง มีการใช้อาวุธจริง และยังซักทอดกันไปมาด้วย นี่คือความเลวทราม ทำให้การพัฒนาด้านต่างๆล่าช้า จนทำให้ต้องขายทุกอย่างกิน ไม่ว่าจะความเป็นไทย ธรรมชาติ โบราณสถาน และอีกมากมาย ขอให้รู้ไว้เลยว่า ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้นต้องไม่เอาประเทศมาอ้าง หรือแม้แต่กระทั่งถ้าคิดว่า ผมผิดก็ฟ้องมา ประเทศถึงจะเดินได้ แต่อย่ามาพูดลอยๆ ฟังกันไปเรื่อย ขณะที่สื่อมวลชนเองก็เอาไปลง เวลาจะฟ้องก็ลำบาก เพราะเขียนเลี่ยงไปเลี่ยงมา” รมว.มหาดไทย ระบุ
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ถ้าเราไม่ยึดถือความมั่นคงที่ถูกต้อง วันหนึ่งจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น ต้องหอบผ้าหนีเหมือนในหลายๆประเทศที่มีภาวะสงครามกลางเมือง ดังนั้นอย่าทำต้องสามัคคี ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปัจจุบัน ตนเห็นพัฒนาการทางการเมืองมาตามลำดับ มีการใช้ประชาชนมาหนุนตัวเอง เพื่อคะแนนเสียง และสร้างความขัดแย้ง ประเทศจึงไม่เดินไปไหน ความเจริญไม่ก้าวหน้า หยุดอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นเราอย่าให้เขากลับมาทำแบบนั้นได้อีก ปัญหาที่สำคัญคือคนในประเทศได้รับผลกระทบจากการเมืองทั้งสิ้น ยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีระบบพรรคพวก เพราะฉะนั้นเราต้องปรับตัวทุกอย่าง โดยยึดหลัก ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนความมั่นคงต่างๆมาเป็นกรอบในการดำเนินงาน ซึ่งรัฐบาลชุดต่อๆไปที่มาจากพรรคการเมืองควรที่จะมีนโยบายที่สอดคล้องด้วย ต้องรู้ปัญหาประชาชน พัฒนาประเทศชาติ ใช้งบประมาณให้เป็นไปตามกรอบ และค่อยๆดำเนินการไปที่ละขั้น
“ที่ผ่านมาสำหรับนโยบายประชานิยม ถามว่าดีหรือไม่ ถ้าคนที่เขาได้รับก็ต้องดี ต้องชอบ แต่ถามว่าแฟร์หรือไม่ก็ตัดสินใจกันเอง เพราะมันเป็นภาษีของประชาชนควรจะสร้างอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อชาติ แต่ถ้าเอาเงินส่วนนี้ไปให้ประชาชนเลย มันไม่พอ ยังไงก็ทำไม่ได้ เพียงแค่ทำให้คนชอบและได้ฐานเสียงจนมาเป็นรัฐบาลได้ แต่จริงๆแล้วมันทำไม่ได้ พอมีปัญหาแล้วก็มาอ้างว่าเสียงส่วนใหญ่เลือกเข้ามา แล้วก็ตีกันต่อไป รัฐบาลนี้ไม่ทำ แต่จะใช้แนวทางประชารัฐ คือการใช้พลังของทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมแก้ปัญหา” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวด้วยว่า ขอชื่นชมพนักงานการไฟฟ้าทุกคนที่ช่วยแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาไฟดับ ช่วยกันทั้งวันทั้งคืนจนสำเร็จ ทำให้รู้ความยากลำบาก แต่ก็ก็น่าเห็นใจที่บางครั้งการพัฒนาเข้าไปเขตพื้นที่ต่างๆก็ต้องขัดแย้งกับประชาชนบ้าง ดังนั้น ขอให้บริการประชาชนอย่างเข้าถึงพื้นที่ ทำให้เห็นว่าเราพัฒนาไปมาก ไม่เคยล้าหลังใคร นำสิ่งที่ดีในอดีต 56 ปีแล้ว มาพัฒนาต่อยอด หวังว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเป็นส่วนหนึ่งในการให้ประเทศพัฒนา มีความมั่นคง แม้จะยากบ้าง แต่ต้องคำนึงถึงประชาชน ก็ขอให้กำลังใจ
“เราพัฒนามาดีแล้วตั้งแต่ที่ผ่านมา จนประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ยุค 4.0 การไฟฟ้าถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ผมหวังว่าจะช่วยพัฒนา บริการประชาชน สู้เขาได้ภายใต้บริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รัฐบาลนี้จะอยู่อีกประมาณ 1 ปีก็จะพยายามช่วยเต็มที่ ผมขอชื่นชม และเป็นกำลังใจให้พัฒนาชาติ” รมว.มหาดไทย กล่าวทิ้งท้าย