"ทุกอย่างที่ฉันรักอยู่ที่นี่ ฉันก็เลยไปจากเคียฟไม่ได้ และฉันจะสู้ถ้าจำเป็นต้องทำ" - ยารินา อาเรียวา
รัสเซีย ยูเครน : เหล่าหญิงกล้า ผู้อาสาปกป้องชาติจากการรุกรานของรัสเซีย
แฮร์ริเอียต ออร์เรลล์
บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส
15 มีนาคม 2022
"กองทัพต่อต้านของเรามีแนวหน้าเป็นผู้หญิง" สตรีหมายเลขหนึ่งของยูเครนโพสต์ข้อความทางอินสตาแกรม
โอเลนา เซเลนสกา ภริยาของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ได้เผยแพร่ภาพถ่ายที่เผยให้เห็นถึงความพยายามของผู้หญิงยูเครนในการปกป้องชาติจากการรุกรานของรัสเซีย
นอกจากภาพถ่ายของเซเลนสกาแล้ว ในโลกโซเชียลมีเดียก็ยังเต็มไปด้วยภาพผู้หญิงยูเครนในเครื่องแบบทหารและถืออาวุธในมือ พร้อมที่จะออกรบในสงครามที่ปะทุขึ้นในยูเครนมาตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.
อาชญากรรมสงครามคืออะไร
ทำไมจึงไม่มีใครส่งเครื่องบินรบให้ยูเครน
แปลงเคียฟเป็นปราการรับการบุกของรัสเซีย
การสู้รบที่เกิดขึ้นทำให้ครอบครัวมากมายต้องพลัดพรากจากกัน โดยที่คนนับล้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กต่างหนีภัยสงครามไปทางฝั่งตะวันตกของประเทศ ในขณะที่ผู้ชายยังอยู่ต่อเพื่อปกป้องเมืองต่าง ๆ จากการเข้ายึดครองของกองทัพรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนเลือกที่จะยืนหยัดปกป้องประเทศชาติ ซึ่งรวมถึงตัวนางเซเลนสกาเอง แม้ว่าชีวิตของพวกเธอจะตกอยู่ท่ามกลางอันตรายก็ตาม
นี่คือเรื่องราวของผู้หญิงยูเครน 5 คนที่หยิบปืนขึ้นร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชายเพื่อปกป้องประเทศอันเป็นที่รักของพวกเธอ
คีรา รูดิก - "มันน่ากลัว แต่ฉันก็โมโหด้วย"
ในฐานะ ส.ส. คีรา รูดิก ได้รับแจกอาวุธจากทางการ
"ฉันไม่เคยจับปืนมาก่อนเลย จนกระทั่งสงครามครั้งนี้ปะทุขึ้น" คีรา รูดิก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยูเครนกล่าว
"แต่เมื่อการรุกรานเริ่มขึ้น และมีโอกาสที่ได้รับแจกปืน ฉันก็รู้สึกช็อกเหมือนกันที่ตัวเองตัดสินใจรับปืนมา"
"มันทั้งหนักและมีกลิ่นโลหะกับน้ำมัน"
รูดิกรวบรวมอาสาสมัครเข้าร่วมหน่วยต่อต้านในกรุงเคียฟ และพวกเขากำลังฝึกป้องกันเมืองหลวงแห่งนี้
เธอเก็บข้อมูลที่อยู่ของเธอไว้เป็นความลับ เนื่องจากหน่วยข่าวกรองต่างระบุว่าเธออยู่ใน "รายชื่อบุคคลที่ต้องสังหาร" ของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
แม้จะรู้ถึงอันตรายนี้ แต่รูดิกยังคงทำหน้าที่ในฐานะหัวหน้าพรรควอยซ์ (Voice Party) ในรัฐสภายูเครน ไปพร้อมกับการลาดตระเวนในละแวกบ้านร่วมกับหน่วยของเธอต่อไป
ภาพที่รูดิกถือปืนได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์ และเธอบอกว่านี่ทำให้ผู้หญิงหลายคนตัดสินใจเจริญรอยตามเธอ
"ฉันได้รับข้อความมากมายจากผู้หญิงที่บอกว่าพวกเธอกำลังร่วมสู้รบ" รูดิกเผยกับบีบีซี
"พวกเราไม่มีมายาคติว่าสงครามครั้งนี้จะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเราจะต้องต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ร่างกาย และลูก ๆ ของเรา"
"มันน่ากลัว แต่ฉันก็โมโหด้วย และนี่อาจเป็นอารมณ์ที่เหมาะสมที่สุดในการต่อสู้เพื่อประเทศของฉัน"
ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า ยูเครนมีประชากร 44 ล้านคน ในจำนวนนี้23 ล้านคนเป็นผู้หญิง และยูเครนก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนผู้หญิงในกองทัพสูงที่สุด
กองทัพยูเครนระบุว่า 15.6% ของทหารในกองทัพเป็นผู้หญิง เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่านับตั้งแต่ปี 2014
ตัวเลขนี้อาจสูงขึ้นอีก หลังจากทางการประกาศเรียกพลเมืองหญิงอายุ 18-60 ปีที่มีร่างกายสมบูรณ์ให้สมัครเข้ากองทัพรับใช้ชาติ
เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าผู้หญิงที่ตัดสินใจปักหลักปกป้องประเทศชาติเหล่านี้จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีผู้เสียชีวิตจากการรุกรานของรัสเซียไปแล้วกี่คน แต่ทางการยูเครนระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิตแล้วกว่า 1 พันคน นับตั้งแต่รัสเซียยกทัพเข้าโจมตีเมื่อ 24 ก.พ.
แม้จะไม่สามารถยืนยันตัวเลขดังกล่าวได้แน่ชัด แต่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) รายงานข้อมูล ณ วันที่ 8 มี.ค. ว่ามีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 516 คน
นอกจากนี้ ข้อมูลจากรายงานข่าวหลายชิ้นก็บ่งชี้ว่า ทั้งสองฝ่ายสูญเสียกำลังพลไปแล้วหลายพันนาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมาก
ประธานาธิบดีเซเลนสกีระบุว่า ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของสงครามมีทหารยูเครนเสียชีวิตไป 1,300 นาย
ส่วนพลเรือนยูเครนที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สู้รบต่างต้องเข้าไปหลบภัยขีปนาวุธและการโจมตีทางอากาศอยู่ตามอาคารชั้นใต้ดิน และสถานีรถไฟใต้ดิน
คลิปวิดีโอจากพื้นที่สู้รบเผยให้เห็นบ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล และ "ระเบียงมนุษยธรรม" (humanitarian corridor) ถูกถล่มอย่างไม่เลือกหน้า
นี่คือความเป็นจริงอันเลวร้ายซึ่งผู้คนที่เลือกปักหลักอยู่ในยูเครนต้องเผชิญ
มาร์การิตา ริวาเชนโก - "ฉันไม่มีที่จะไป"
มาร์การิตา ริวาเชนโก ได้รับดอกไม้ช่อนี้จากเพื่อนร่วมหน่วยเนื่องในวันสตรีสากล
นอกจากนักการเมืองแล้ว หญิงสามัญชนหลายคนก็เลือกที่จะจับอาวุธขึ้นสู้ในสงครามนี้
ไม่กี่วันก่อนที่รัสเซียจะบุกยูเครน มาร์การิตา ริวาเชนโก เพิ่งจะฉลองวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอที่กรุงบูดาเปสต์ของฮังการีกับเพื่อน ๆ
ตอนนี้เธอเรียนรู้ที่จะหลับอยู่ในที่หลบภัย ท่ามกลางเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศ ในขณะที่เมืองของเธอกำลังถูกกองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดโจมตี
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์คนนี้เล่าให้บีบีซีฟังว่า "ตอนที่สงครามปะทุขึ้น ครอบครัวของฉันอยู่ที่เมืองคาร์คิฟ ส่วนฉันอาศัยอยู่คนเดียวในเคียฟ ฉันไม่มีที่จะไป"
"ฉันไม่อยากอพยพ ฉันอยากทำอะไรบางอย่าง ฉันเลยตัดสินใจเข้าร่วมกับหน่วยทหารอาสารักษาดินแดน"
ริวาเชนโกเข้าอบรมหลักสูตรปฐมพยาบาล เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ในหน่วยของเธอ และตอนนี้เธอเป็นอาสาสมัครผู้ช่วยพยาบาล"
"ฉันกลัวมาก" เธอบอก "ฉันรักชีวิตตัวเอง และฉันก็อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ชีวิตของฉันขึ้นอยู่กับสงครามครั้งนี้ และฉันจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มันยุติลง"
ยูสตินา ดูซัน - "สิ่งสำคัญที่สุดของฉันคือการรอดชีวิต"
ก่อนจะเกิดสงคราม ยูสตินา ดูซัน เคยเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสัตว์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดของเธอในตอนนี้คือการเอาชีวิตรอด เพื่อที่จะได้ช่วยกำลังพลคนอื่น ๆ ทำสงครามครั้งนี้
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าร่วมหน่วยทหารอาสารักษาดินแดนได้ เนื่องจากมีอาสาสมัครอยู่มากแล้ว และผู้สมัครบางคนก็มีประสบการณ์ไม่เพียงพอที่จะเอาชีวิตรอดในสนามรบได้
ยูสตินา ดูซัน ที่ปรึกษาการสรรหาบุคคลเข้าทำงานด้านไอที เป็นอีกคนที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยประเทศของเธอ
"ตอนนี้ฉันเป็นทหารกองหนุนและพร้อมที่จะรบ" เธอเล่า "ฉันอพยพไปที่เมืองลวีฟ เพราะไม่มีอาวุธหรือรถยนต์ที่จะช่วยในการสู้รบอย่างมีประสิทธิภาพในเคียฟ"
"ตอนนี้ฉันจึงเป็นอาสาสมัครในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อช่วยองค์กรต่าง ๆ ส่งอุปกรณ์และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังพื้นที่แนวหน้า"
ก่อนจะเกิดสงคราม ดูซันเคยเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสัตว์ แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะกังวลเกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ อีกแล้ว
"มันคือหายนะที่บรรดาสัตว์ถูกทอดทิ้งให้ตายในเมืองต่าง ๆ...แต่สิ่งสำคัญที่สุดของฉันคือการรอดชีวิต เพื่อที่ฉันจะได้ช่วยกำลังพลติดอาวุธผู้ซึ่งจะยืนหยัดสู้รบจนถึงวาระสุดท้าย"
"ลูกหลานของเรากำลังล้มตาย และพวกนั้น (รัสเซีย) ก็มุ่งเข่นฆ่าชาวยูเครนทุกคน และพวกเรารู้สึกโดดเดี่ยวในสถานการณ์นี้"
"ฉันแค่ไม่อยากถูกฆ่าตาย"
โอเลนา ไบเลตสเกีย - "ฉันอยากให้ลูกสาวของฉันเกิดมาในยูเครนที่เป็นอิสระ"
ภาพของ โอเลนา ไบเลตสเกีย ก่อนรัสเซียบุก เธอช่วยฝึกพลเรือนให้สู้รบมาตั้งแต่ปี 2014
บ้านของ โอเลนา ไบเลตสเกีย ซึ่งเป็นนักกฎหมายได้กลายเป็นกองบัญชาการของหน่วยผู้พิทักษ์หญิงแห่งยูเครน (Ukraine Women's Guard)
เธอกำลังตั้งท้องได้ 6 เดือน และตัดสินใจปักหลักอยู่ในกรุงเคียฟกับสามี พร้อมลูกสาวอีก 2 คน ที่อายุ 11 และ 16 ปี เพื่อช่วยปกป้องเมืองหลวงแห่งนี้
"พวกเราช่วยรวบรวมผู้หญิงที่เข้าร่วมการสู้รบทั่วประเทศ" เธออธิบาย
"มันคือการตัดสินใจของครอบครัวที่จะปักหลักอยู่และต่อสู้ เพราะพวกเราไม่อยากมีชีวิตอยู่ภายใต้การยึดครอง"
"มันคือทางเลือกระหว่างความเป็นทาสกับความเป็นไท ซึ่งนี่คือความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิงทุกคนในประเทศนี้ ดังนั้นเราจึงจะอยู่ในเคียฟให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้"
ไบเลตสเกีย และสามี ช่วยเตรียมความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจให้แก่พลเรือนหญิงที่เข้าร่วมรบ เช่น การฝึกทำระเบิดขวด
การใช้ปืนเล็กยาวจู่โจม และการเผยแพร่ข้อมูลใน 33 ภาษาบนเว็บไซต์ของพวกเขา
หญิงชาวเมืองดนีโปร ทำระเบิดขวด
"ช่วง 2-3 วันแรกความกลัวและวิตกกังวลมีอยู่อย่างท้วมท้น...แต่ตอนนี้ ไม่มีความกลัวอีกต่อไปแล้ว มีแต่ความปรารถนาที่จะเอาชนะศัตรูให้ได้" เธอกล่าว
"ฉันไม่ต้องการหนี และไม่มีแผนจะทำอย่างนั้น"
"ฉันไม่รู้ว่าพวกเราจะรอดชีวิตหรือเปล่า แต่ฉันอยากมีชีวิตอยู่ และฝันถึงการมีลูกสาวคนที่สามในประเทศยูเครนที่เป็นอิสระและมีเอกราช"
ยารินา อาเรียวา - "ฉันไม่กลัวว่าตัวจะตาย"
ยารินา อาเรียวา และสเวียตอสลาฟ เฟอร์ซิน แต่งงานกันในวันแรกที่เกิดสงคราม
ในเช้าวันที่ประธานาธิบดีปูตินสั่งบุกยูเครน ยารินา อาเรียวา ได้ตัดสินใจบางอย่าง เธอตัดสินใจจะแต่งงาน
ตอนนั้นเธออาศัยอยู่คนละที่กับ สเวียตอสลาฟ เฟอร์ซิน แฟนหนุ่ม ซึ่งปัจจุบันคือสามีของเธอ และทั้งคู่ต้องการฟันฝ่าสงครามครั้งนี้ไปด้วยกัน
พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับหน่วยทหารอาสารักษาดินแดนเพื่อปกป้องกรุงเคียฟ
"ฉันจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องประเทศและเมืองของฉัน" อาเรียวา กล่าว
"ทรัพย์สินของฉันอยู่ที่นี่ พ่อแม่ของฉันอยู่ที่นี่ แมวของฉันอยู่ที่นี่ ทุกอย่างที่ฉันรักอยู่ที่นี่ ฉันก็เลยไปจากเคียฟไม่ได้ และฉันจะสู้ถ้าจำเป็นต้องทำ"
อาเรียวา เป็นสมาชิกสภากรุงเคียฟ ทำให้เธอได้รับแจกอาวุธและชุดเกราะ เธอย้ายไปอยู่ที่ฐานทัพหน่วยอาสารักษาดินแดนกับสามี แต่ตอนนี้ยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอที่จะออกสู้รบ ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้แต่ทำงานอย่างอื่น และรอฟังข่าวจากสามีที่ออกไปรบในแนวหน้า
"ก่อนจะเกิดสงครามฉันมีความกลัวหลายอย่าง ฉันกลัวหมา และความมืด" หญิงสาววัย 21 ปีกล่าว
"แต่ตอนนี้ สิ่งเดียวที่ฉันกลัวคือการสูญเสียสามีของฉัน ฉันไม่กลัวว่าตัวจะตาย"
ตอนที่เฟอร์ซินออกไปรบในแนวหน้า อาเรียวา ช่วยงานอื่นอยู่ที่ฐานหน่วยทหารอาสารักษาดินแดนในกรุงเคียฟ
งานอันตราย
ทหารอาสากำลังล้มตายในแนวหน้า ในจำนวนนี้มีผู้หญิงรวมอยู่ด้วยหลายคน
ในวันที่รัสเซียเปิดฉากบุกวันแรกเมื่อ 24 ก.พ. นั้น ไอรีนา สวิลา ทหารผ่านศึกวัย 52 ปี และเป็นคุณแม่ลูกห้า ต้องสังเวยชีวิตในการโจมตีกรุงเคียฟ
เธอเป็นทหารอาสารักษาดินแดนในเมืองหลวงยูเครนร่วมกับ ดมีโทร สามี ซึ่งก็เสียชีวิตในวันเดียวกัน
1 สัปดาห์ต่อมา รถยนต์ของอาสาสมัครส่งอาหารให้ศูนย์สงเคราะห์สัตว์ในกรุงเคียฟได้ถูกยิง ส่งผลให้ อนาสตาเซีย ยาลันสกายา วัย 26 ปี เสียชีวิต พร้อมคนในรถอีก 2 คน
ส่วน วาเลอเรีย "เลรา" มัตเซตสกา อาสาสมัครอีกคนก็ถูกรถถังรัสเซียยิงเสียชีวิต หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) ที่เธอทำงานอยู่ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่เธอขับรถไปเอายาให้แม่ วาเลอเรียจากไปก่อนจะถึงวันเกิดอายุครบ 32 ปีเพียงไม่นาน