วันพฤหัสบดี, มีนาคม 31, 2565

ฮึกฮักสมัครผู้ว่าฯ กทม. สื่อถามจี้ ชัชชาติทำงานกับรัฐบาลได้เหรอ วิโรจน์แตะเจ้ามากไปไหม

เฮ้อ ตู่ นี่พูดเหมือนคนมีปมด้อย “ถ้ามีโอกาสจะทำต่อ ถ้าไม่มีโอกาสก็กลับบ้านนอนเท่านั้นเอง ใครจะเป็นตำแหน่งไหน ก็ทำให้สำเร็จเหอะ ผมเจอมาหลายร้อยปัญหาพยายามแก้” ตัวเองแก้ไม่ได้แล้วยังไปแขวะเขา “ก็แก้ให้ได้จริงๆ แล้วกัน”

เดี๋ยวนี้พูดทีไรก็เข้าเนื้อตัวเองทุกครั้งไป พูดเรื่อง #เลือกตั้งผู้ว่า กทม. ทำเป็นสอนสั่งดั่งเคยลงแข่งเลือกตั้งกับเขาเหมือนกัน ที่ไหนไดเปล่าเลย บอกให้ “ต้องใช้สติและปัญญา” เงี้ย แย้งตัวเองอยู่เห็นๆ “มีทัศนคติดีไหม พูดแล้วทำได้ไหม” โอย อันนี้ประยุทธ์สอบตกตั้งแต่ไก่โห่

พูดถึง รากเหง้า “ซัดจะหาเสียงรู้ยังของเดิมมีอะไรบ้าง ถ้ารื้อทิ้งหมดจะไปได้ไง เหมือนต้นไม้ มีรากฐานมาจากพ่อแม่ ไม่อยากให้ลืมรากเหง้าของตนเอง” แต่ตัวเองนั้น รากงอกเกาะแน่นเสียจนไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงก้าวหน้า แคระแกรนคล้าย บอนไซ

อย่างประยุทธ์และพวกพ้องตามไม่ทันการคิดอ่านของคนรุ่นนี้หรอก ดูสไตล์การเล่นมุขหาเสียงของผู้สมัครฝ่าย แก้ไขชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่เป็น เต็ง ๑’ ขี่จักรยานไปยื่นใบสมัครตั้งแต่ไก่โห่ หกโมงเช้า ในมาดของการออกกำลังยามเช้าสูดอากาศบริสุทธิ์และประหยัดพลังงาน

รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ สัมภาษณ์ชัชชาติว่าเมื่อได้ตำแหน่งผู้ว่าฯ แล้วจะทำงานร่วมกับรัฐบาลได้หรือ เขาตอบว่าได้สิ “ทำได้ครับ ถ้าเราเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง อะไรที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ผมไม่ทำ” เชื่อว่ารัฐบาลเป็นแบบเดียวกัน

ชัชชาติซึ่งเน้นนโยบายกรุงเทพฯ สะอาด ปลอดมลพิษ เขาบอกกับ อโนทัย สกุลทอง ในการสัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า “ไม่เน้นใช้ป้ายหาเสียง ไม่อยากให้รก ไม่อยากทำร้ายเมือง จะใช้ป้ายหาเสียงให้น้อยที่สุด เน้นสื่อสารด้วยโซเชียลมีเดีย”

ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิสร นั่งรถเมล์ไปยื่นใบสมัคร ตามแนวทางพลิกผันกรุงเทพฯ ให้เป็นแดนแห่ง คนเท่ากันแม้จะเจอคำถามสัมภาษณ์สดจากช่อง ๗ จังๆ ว่าพรรคก้าวไกลของวิโรจน์มีปัญหาอยู่สองอย่าง หนึ่งคือไปแตะทหารมากเกินไป

อันนี้วิโรจน์ถามสวนเลยว่า “เราจะปล่อยให้ทหารเอารัดเอาเปรียบคนกรุงเทพฯ อยู่ได้อย่างไร...ทุกวันนี้ทหารชั้นผู้น้อยเอง ก็ยังถูกเอารัดเอาเปรียบ” ผู้ประกาศถามต่อปัญหาข้อสอง “ไปแตะเจ้ามากเกินไป” เขาบอกว่า “นี่คือจินตนาการที่คนมักจะคิดไปเอง...

สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ วันนี้ เราต้องธำรงสิทธิของประชาชน...ผมกังวลคนที่อ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง และทำลายคู่แข่งขัน” ขณะเดียวกันสำหรับผู้สมัครจากค่าย กปปส. สกลธี ภัททิยกุล เป็นที่ฮือฮา เมื่อเขาจับได้หมายเลข ๓

หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าเพื่อนซี้ของ ณัฐพล ทีปสุวรรณ (อีกหนึ่ง กปปส.ที่ได้ดิบได้ดีหลังรัฐประหาร แม้ภายหลังถูกศาลตัดสินความผิดปิดกรุงเทพฯ) จะต้องเที่ยวชูสามนิ้ว (แทนการเป่านกหวีด) ตลอดสองเดือนข้างหน้าระหว่างหาเสียง ออกตระเวนไหว้ประชาชน

ณัฐพลนั่นศาลให้ประกันตัวระหว่างรอคดีอุทธรณ์ กลับมาโดดเด่นเป็นข่าวด้วยความกรุณาของศาล อณุญาตให้พาลูกเมียไปเที่ยว ซาน ฟรานซิสโก เพิ่งกลับมาไม่นาน ต่างกับกรณีของ รวิสรา เอกสกุล บัณฑิตอักษรศาสตร์ที่โดนข้อหา ๑๑๒

เดียร์ ถูกดำเนินคดีฐานที่ไปอ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันที่หน้าสถานทูต แต่เธอได้รับทุนจากเยอรมนีให้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท จึงขออนุญาตศาลเพื่อไปรับทุน โดยยินดีจะไปรายงานตัวกับสถานทูตสม่ำเสมอ ศาลอาญากรุงเทพใต้เล่นแง่

ผู้บริหารศาลอาญาสลับเปลี่ยนกันอ้างโน่นอ้างนี่ปฏิเสธต่างๆ นานา แม้นว่าเธอก็ได้ไปหาหลักฐานมายืนยันแล้วทุกอย่างที่เรียกหาเป็นครั้งที่ ๖ โดยล่าสุดนี่ สันติ ชูกิจทรัพย์ไพศาล รองอธิบดีศาลฯ อ้างว่า “รวิสราไม่มีผู้กำกับดูแลที่เหมาะสม”

ทนาย นรเศรษฐ์ นาหนองตูม @Norasate_Lawyer ทวี้ตปรารภเกี่ยวกับคดีณัฐพลกับของรวิสรา “หลายคนอาจจะบอกว่าเอามาเปรียบกันแบบนี้ไม่ได้ ไม่น่าจะถูกต้อง ผมลองคิด ๆ ดูแล้ว ใช่ครับ เปรียบเทียบกันไม่ได้จริง ๆ”

ศาลอาญากรุงเทพใต้ ไม่ได้ลำเอียง “เพราะคดีณัฐพลฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกไปแล้วอยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่คดีของรวิสราฯอยู่ระหว่างนัดสืบพยานในปี ๒๕๖๖ (โน่น) ศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่าเธอผิดหรือถูก” ด้วยซ้ำไป

(https://www.facebook.com/themomentumco/posts/2930104623947889, https://twitter.com/tanapon1047/status/1509335445901287429 และ https://twitter.com/KhaosodOnline/status/1509091281967861760)