รองลงไปสำหรับบุคคลที่เสียงสนับสนุนให้เป็นนายกฯ คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกลได้ ๑๓.๔% เฉือน ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ คนปัจจุบันที่เคยได้คะแนนดีที่สุดไปอย่างเลือดซิบ และสองคนนี้เส้นทางโพลสวนกัน คนหนึ่งขึ้นอีกคนหนึ่งลง
พิธานั้นไต่จาก ๕% ขึ้นมาเป็น ๑๐-๑๑ และ ๑๓ แต่ประยุทธ์ถอยลงๆ จาก ๑๙% ไป ๑๗-๑๖ และคราวนี้ ๑๒.๖% ส่วนประเด็น ‘ขี่ม้าขาว’ ทำให้สองนารีถูกชี้ชะตาด้วยโพลนี้อย่าง ‘สวนทาง’ ด้วยเช่นกัน โดยลูกสาวทักษิณแซงหน้าอดีตฐานเสียงยับเยิน
‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร เพิ่งเข้าสนามโพลได้สองงวด คะแนนจากสิบครึ่งมาเป็น ๑๒ ครึ่ง คราวนี้เทียบเท่าประยุทธ์เลยละ ขณะที่คะแนน ‘หญิงหน่อย’ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลดฮวบจาก ๑๓.๖% มาสู่ ๘% จนมีเสียงแซะว่าเห็นท่าจะหมดอนาคต
ด้านเสียงสนับสนุนพรรคการเมือง ตั้งแต่มิถุนา ๖๔ มาถึงมีนา ๖๕ ก็คือ “ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย” จาก ๓๒.๖% เมื่อมิถุนา ๖๔ มาเป็น ๓๐-๓๗ และ ๒๘.๘% ในคราวนี้นั้น พรรคที่คะแนนล้ำหน้าใครๆ (ได้อันดับสอง) เป็นพรรคเพื่อไทย
จะเห็นพัฒนาการความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก ๑๙% มา ๒๒-๒๓ และ ๒๕.๘% พรรคก้าวไกลซึ่งอันดับต่อจากเพื่อไทยก็เช่นกัน คะแนนนิยมเพิ่มจาก ๑๔-๑๕ มา ๑๓ และ ๑๖.๒% ในที่สุด ซึ่งทั้งสองพรรคนี้สวนทางกับอีกสองพรรคฝ่ายตรงข้ามเห็นชัด
พรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ คะแนนส่วนใหญ่ต่ำสิบทั้งคู่ พปชร.ที่เคยได้ ๑๐.๗% เมื่อมิถุนา ๖๔ หดไปเหลือ ๙ แล้ว ๘ จนคราวนี้รั้งท้ายที่ ๗% ส่วน ปชป.ก็ ‘ลงใต้’ สมกับใบหน้า จาก ๙.๕ มาเหลือ ๗.๗ และ ๗.๑ ครั้งนี้ดีหน่อยได้ ๗.๙%
ผลโพลที่แสดงให้เห็นความเสื่อมทรามของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเช่นนั้น บ่งบอกสาเหตุพฤติกรรมกีดกัน กลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ต่อกิจกรรมส่งเสริมวิถีประชาธิปไตย และสร้างทักษะอันสอดคล้องในการบริหารงานสาธารณะได้
จดหมายเปิดผนึกของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ไม่เพียงชี้ให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจก้าวร้าวเกินความเหมาะควร แล้วยังสอนให้นายวันชัย คงเกษม รับรู้หลักวิชาการปกครองท้องถิ่นที่ถูกต้องด้วย
นายวันชัยทำหนังสือ ‘ด่วนที่สุด’ ส่งถึงนายอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรีนคร และนายกเทศมนตรีเมืองทุกแห่งในจังหวัดสมุทรปราการ อ้างถึงการที่มีเอกชนไปจัดฝึกอบรมครูและบุคคลากรทางการศึกษา “ไม่เหมาะสม”
การฝึกอบรมดังกล่าวนั้น คณะก้าวหน้า “ร่วมกับเทศบาลตำบลด่านสำโรงในเรื่องการศึกษา โดยได้ให้คำปรึกษาและติดต่อประสานงานกับเอกชน เพื่อให้โรงเรียนอนุบาลด่านสำโรงได้มีหลักสูตรการเขียนโปรแกรมและการใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ”
ผู้ว่าฯ อ้างว่าผิดระเบียบกระทรวงมหาดไทย “ว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม” ข้อ ๙ ซึ่งธนาธรบอกว่า “เป็นการอ้างอย่างผิดฝาผิดตัว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระเรื่องการบริหารงานบุคคล โดยสามารถที่จะใช้ดุลยพินิจเลือกจัดอบรมบุคลากรในสังกัดได้”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยเคยออกหนังสือ ‘ด่วนมาก’ ที่ มท 0808.3/ว 611ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546 กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม...” และ “ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีคำพิพากษาในคดี
หมายเลขดำที่ อ.291/2546 และคดีหมายเลขแดงที่ อ.61/2549 ว่าเป็นการออกหลักเกณฑ์ที่ขัดต่อความเป็นอิสระของเทศบาล ในการกำหนดนโยบายการปกครอง” แล้วด้วย จึงขอเข้าพบนายวันชัย “เพื่อปรับความรับรู้ความเข้าใจต่อโครงการ”
ธนาธรบอกด้วยว่า “เราอาจมีอุดมการณ์การเมืองต่างกันได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติของสังคม แต่การใช้อำนาจหน้าที่อย่างเลือกปฏิบัตินั้น นอกจากจะผิดกฏหมายแล้ว ยังเสียโอกาสในการพัฒนาสังคม เรื่องที่ประชาชนได้ประโยชน์ เราสามารถหาจุดร่วมกันได้”
พร้อมทั้ง “ผมอาจเป็นภัยต่อเผด็จการ แต่ผมไม่ใช่ภัยคุกคามของประเทศไทยแน่ ผมตั้งใจทำงานการเมืองเพื่อสร้างประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสิทธิเสรีภาพ ประเทศไทยเจริญเติบโตทัดเทียมกับนานาชาติ”
(https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/posts/527396932069554 และ https://www.posttoday.com/politic/news/6791550m-SHY)