อะไรมันจะขัดสนไปเสียทุกอย่าง ยุคตู่อยู่ยาวเนี่ย ขนาดหมดหนทางแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้านแล้ว คิดตื้นๆ จะเพิ่มจำนวนโรงรับจำนำ ผลักภาระไปให้ประชาชน เอาข้าวของส่วนตัวไปตึ๊งกัน แลกเงินสดออกมาใช้ ยืดเวลาอดตายเอาเอง
หารู้ไม่ว่าไอเดียเพิ่มสถานธนานุบาลไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เพราะคนจนเวลานี้อัตคัดขัดสนถึงขนาดไม่มีของมีค่าพอเอาไปจำนำได้ ผู้ประกอบการรายหนึ่งประเมินว่าลูกค้าของตนหายไป ๕๐-๖๐% จากปีที่ก่อนเกิดวิกฤตโควิดระลอกแรก
ผู้สื่อข่าว Sanook ลงพื้นที่ กทม.เสาะถามโรงรับจำนำว่าคิดเห็นเป็นอย่างไร กับการที่รัฐบาลออกไอเดียจะเพิ่มสถานธนานุบาล-ธนานุเคราะห์ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง คำตอบที่ได้ก็คือ “อย่าดีกว่า” เพราะตอนนี้ก็เป็นช่วงขาลงของโรงจำนำเหมือนกัน
ช่วงปีกว่ามานี่ “ต้องนั่งมองว่าลูกค้าหายไปไหน” รองผู้จัดการฯ ยืนยันว่า “โรงรับจำนำก็ซบเซาและได้รับผลกระทบไม่ต่างจากธุรกิจประเภทอื่น” แบบว่าเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ปกติจะคึกคักเพราะตรงกับช่วงเปิดเทอม ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ จำนวนลดลงโดยตลอด
จำนวนทรัพย์จำนำสำหรับสถานธนานุเคราะแห่งนี้ลดลงทุกๆ ปีต่อเนื่อง จาก ‘แสนสอง’ รายการ ไปเป็นแสนหนึ่ง และเพียง ๙ หมื่นเมื่อปีที่แล้ว จำนวนผู้ใช้บริการก็ลดต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด ลดจาก ๔ แสน ๗ หมื่น ปี ๖๒ มาเป็น ๔ แสนถ้วนปีที่แล้ว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะระบบธุรกิจการเงินเป็นแบบดิจิทัลมากขึ้น “คนไม่จำเป็นต้องเข้าโรงรับจำนำเพื่อจะได้เงินสด คนสามารถไปใช้บัตรเครดิต สินเชื่อเงินสดได้ พวกนั้นเข้าถึงได้ง่ายกว่าการมาโรงรับจำนำ แล้วการไปแบบนั้นมันดูดีกว่าการเดินเข้าโรงรับจำนำ”
แต่สาเหตุหลักเกิดจาก “สภาพเศรษฐกิจที่ชลอตัวในช่วง ๖-๗ ปีที่ผ่านมา...ถ้าเศรษฐกิจดี การเมืองดี เราก็จะไม่เจอแบบนี้...สิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือบริหารจัดการเศรษฐกิจให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่โยนภาระให้ผู้ประกอบการ” รองผู้จัดการฯ คนเดียวกันบ่นด้วยว่า
“บอกให้เรายืดตั๋วลูกค้า ๕ เดือน ไป ๖ เดือนนะ บางทีขอมา ๘ เดือน คือเราก็ยังต้องจ่ายเงินเดือนลูกน้องนะ แล้วเราจะใช้จ่ายยังไงล่ะ...แต่เศรษฐกิจแบบนี้ ของหลุด โรงหล่อไม่เปิด คนรับซื้อไม่ซื้อ แล้วเราจะอยู่ได้ยังไง...โรงรับจำนำก็ถูกกระทำเช่นเดียวกัน”
ทั้งนี้ทั้งนั้น มันเป็นอีกหลักฐานชัดแจ้งว่ารัฐบาล ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งอยู่มาสมัยครึ่ง และกำลังเตรียมต่ออีกสมัยครึ่ง ด้วยชั้นเชิงในการออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ทางการเมืองแก่พวกตน ส่วนประชาชน ‘ชั่งมัน’ นี้จะเสวยสุขบนความเดือดร้อนของประชาชนอีก ๕-๖ ปี
ทั้งที่ในสถานการณ์ระบาดของโควิด-๑๙ ระลอกล่าสุด ยังมองไม่เห็นแสงไฟที่ปลายอุโมงก์ ไม่ว่าจะเป็น ๑๒๐ วัน หรืออีก ๖ เดือน ดังที่ประยุทธ์แถลงไว้โดยไม่มีหลักฐานความเป็นไปได้ค้ำยัน เช่นกรณีที่ประยุทธ์อ้างว่าสั่งซื้อวัคซีนไว้แล้ว ๑๐๕.๕ ล้านโด๊สเซส
Sarinee Achavanuntakul ไปค้นหาหลักฐานกลับพบว่า เป็นการ ‘จอง’ วัคซีนซิโนแว็ค ๑๙.๕ ล้านโด๊สเซส นอกนั้น ไฟ้เซอร์กับจอห์นสันฯ รวม ๒๕ ล้านโด๊สเซส ก็อยู่ในระหว่างเจรจา “ไม่เคยเห็นความคืบหน้าหลายเดือนแล้ว”
ที่พอจับต้องมองเห็นด้วยตาได้ (ไม่ทิพย์) แต่ “น่ากลัว...คือ ศบค. วางแผนที่จะเพิ่มจำนวนวัคซีนที่จัดหาทั้งหมดเป็น 150 ล้านโดส และในเอกสารนี้บอกว่า ส่วนต่างจะมาจากการซื้อ Sinovac เพิ่มอีกถึง ๒๘ ล้านโดส”
เป็นอันว่าวัคซีนที่จะมีเป็นตัวตน ล้วนแต่ ‘ซิโนแว็ค’ ๑๙.๕+๒๘ =๔๗.๕ ล้านโด๊สเซส ในสนนราคาโด๊สละ ๕๔๒.๕๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๕,๗๖๘ ล้านบาท บวกค่าบริหารจัดการโด๊สละ ๖๒.๗๐ บาท จึงเป็นงบประมาณต้องจ่ายครั้งนี้ ๒๘,๗๔๘ ล้านบาท
สฤณี อาชวานันทกุล บอกว่าเงินจำนวนมากขนาดนี้ เอาไปซื้อวัคซีนเซอร์ โมเดอร์น่า เจแอนด์เจ หรือยี่ห้ออื่นที่ประสิทธิภาพ ที่หลายชาติตะวันตกรับรองประสิทธิภาพแล้ว จะดีเสียกว่า ยิ่งถ้ามุ่งหวังว่าแอสตร้าเซเนก้า จะมาโปรดสัตว์ในไม่ช้า
วัคซีนที่สยามไบโอไซน์กำลังผลิตอยู่ “ถูกวิจารณ์อย่างมาก จากการทำสัญญากับ #สยามไบโอไซน์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ไม่เคยผลิตวัคซีนใด ๆ เลยมาก่อนในชีวิต และไม่อยู่ในลิสต์ของบริษัทที่มีความสามารถในการผลิตตามที่ รบ.ไทยเสนอ”
กลายเป็นว่ารัฐบาล ‘ตู่’ สมรู้กันซื้อวัคซีนราคาแพง มาตบตาประชาชนแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ถ่วงเวลาสวาปามครองอำนาจต่อไปอีก ๕-๖ ปี เท่านั้นเอง
(https://www.ft.com/.../e7c35384-6329-437f-86d0-07d81cc528ac, https://www.matichon.co.th/politics/news_2783031, https://www.facebook.com/SarineeA/posts/349316873230673 และ https://www.sanook.com/news/8398770/?buffer)