Atukkit Sawangsuk
Yesterday at 11:10 AM ·
1.เป้าหมายที่ณัฐวุฒิพูดนั้นถูกแล้ว คือต้องรณรงค์ไปสู่การทำประชามติ ซึ่งมีความหมาย "ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560"
แล้วจึงยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
แต่ตอนนี้เหมือนไม่มีใครผลักดันไปสู่ประชามติเลย
(แม้ต้องรอ กม.ประชามติผ่านสัปดาห์หน้า)
พรรคเพื่อไทยพรรคร่วมฝ่ายค้าน (ยกเว้นก้าวไกล) ยื่นแก้ 256 เพื่อยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ก็ถูกฝ่ายกฎหมายรัฐสภาตีตกไปแล้ว
ซึ่งผมไม่แปลกใจ และไม่รู้สึกผิดหวังอะไร
เพราะเคยท้วงแล้วว่า มันผิดขั้นตอน ไม่รู้เสนอทำไม
มุ่งไปสู่การทำประชามติยกเลิกรัฐธรรมนูญดีกว่า
ถ้าทำประชามติชนะ ก็ไม่ต้องกลับมาแก้ 256 อีก
เพราะเมื่อประชาชนข้างมากบอกว่า พวกกรูไม่เอา รธน.ฉบับนี้โว้ย ให้ร่างใหม่ทั้งฉบับ
ยังจะต้องมาแก้ 256 ให้ ส.ว. 1 ใน 3 เห็นด้วยกับการยกร่างใหม่ทั้งฉบับอีกหรือ
:
2.ประเด็นรองลงมาจากแก้ทั้งฉบับ ถ้าจะแก้รายมาตรา ต้องผนึกกำลังทั้งในนอกสภา แก้ 272 ตัดอำนาจ 250 ส.ว.โหวตประยุทธ์ แล้วจึงแก้ระบบเลือกตั้ง เพื่อไปสู่เลือกตั้งไล่ประยุทธ์ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
แต่ประเด็นนี้ก็มองเห็นกันตั้งแต่ตอนนี้แล้วว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ถึงแม้พรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ร่วมกันเสนอ
แต่แค่ ส.ว.ตีตกวาระแรกก็ทำอะไรมันไม่ได้ (วาระแรกต้องให้ ส.ว.เห็นชอบ 1 ใน 3)
ประเด็นนี้กรณ์พรรคก้า ก็เรียกร้องให้ พท.ปชป.ร่วมมือกันไม่ยอมแก้มาตราอื่นถ้า พปชร. สว. ไม่ยอมให้แก้ 272
:
3.ประเด็นที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง จึงเหลือแค่เปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบแบบ 40 (กับประเด็นยิบย่อยที่ต่างก็อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพแต่ไร้สาระ)
ซึ่งการที่ พปชร.เปลี่ยนเลขาพรรคเป็นธรรมนัส ชัดอยู่แล้วว่าเตรียมเลือกตั้ง อาจยุบสภาก่อนครบวาระถ้ามันเห็นว่าได้เปรียบ
:
4.เพื่อไทยไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่อ่านเกมไม่ออก แต่เพื่อไทยเชื่อว่ายังไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญก็สามารถเอาชนะได้ในระบบเลือกตั้งนี้ แม้มี 250 ส.ว. เพราะประยุทธ์แย่มาก เศรษฐกิจพังพินาศ พี่โทนี่โชว์ปราดเปรื่อง ถ้ากวาด ส.ส.แลนด์สไลด์ใกล้ 300 พปชร.ไม่มีทางตั้งรัฐบาลได้ ผู้มีอำนาจต้องยอม "ดีล" แต่ไม่ใช่ดีลแบบที่ด่าๆ กัน หมายถึงต้องดีลให้เข้ามาแก้เศรษฐกิจ ลดแรงกดดันทางการเมือง
:
5.อย่างไรก็ดี ปัญหาระบบเลือกตั้ง ผมไม่เห็นด้วยที่จะบอกว่าเลิกเถียงกันเถอะ มันหล่อเกินไป อย่าตัดบทว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละพรรค เพราะมันเป็นเรื่องหลักการ (ถึงแม้ในทางฏิบัติจบแล้ว ใช้บัตร 2 ใบแบบ 40)
:
คนที่เถียงในเรื่องหลักการผมยอมรับได้นะ (ไม่ใช่หน้ามืดไม่ยอมทำความเข้าใจแล้วด่าแบบติ่ง) บางคนบอกให้มองว่าบัตร 2 ใบแบบ 40 คือการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ได้ ส.ส.จากสองทาง ก็ติ๊กไว้ เป็นประเด็นที่น่าฟัง บางคนแบบชูวัสมองว่า มันทำให้เกิดพรรคการเมืองเข้มแข่็ง รัฐบาลเข้มแข็ง (แต่บางคนก็ฝากแย้งว่า เข้มแข็งจนสั่งนิรโทษสุดซอยได้ไง )
ในขณะที่ผมยืนยันสนับสนุนบัตร 2 ใบแบบเยอรมัน (ที่จริงเขาลงในบัตรใบเดียวเลย แต่การใช้คำว่าบัตร 2 ใบแบบเยอรมัน มันเข้าใจง่ายดี) เพราะนอกจากสะท้อนเสียงประชาชนกลุ่มต่างๆ ตามความเป็นจริง มันยังทำให้เกิดพรรคทางเลือก เกิดพรรคคู่แข่งแบบต่างๆ ในฝ่ายเดียวกัน (ในยุโรปจึงเป็นรัฐบาลผสม เพราะมีตั้งแต่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยอ่อนกลางแก่ไปจนขวากลางขวาจัดแบบต่างๆ ฯลฯ) คนไทยอาจไม่ชอบเพราะอยากให้มีอำนาจทุบโต๊ะ ฝ่ายประชาธิปไตยส่วนหนึ่งก็มองว่าต้องอำนาจเข้มแข็งจึงจะสู้ระบบราชการได้ (แถมบางคนไม่ชอบเพราะเกิดติ่งทะเลาะกัน )
แต่สิ่งที่เราเห็นคือ การแข่งขันทำให้เกิดการปรับตัว (ไม่เห็นหรือว่าเพื่อไทยต้องปรับใหญ่) แล้วก็เป็นตัวแทนพลังประชาธิปไตยต่างกลุ่ม เพราะสังคมวันนี้มีความหลากหลาย
พูดง่ายๆ คือพรรคเพื่อไทยเป็นพรรค MASS ที่มีส่วนผสมของการเมืองเก่า เพราะไทยรักไทยตั้งมาจากการกวาดต้อน ส.ส.ระบบเก่า เน้นจุดขายทางเศรษฐกิจ นโยบายยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ หาเสียงกับคนวงกว้าง พรรค MASS จึงไม่สามารถแหลมคม ไม่แตะเรื่องอ่อนไหว (เป็นอนุรักษ์นิยมทางวัฒนธรรม -ไม่ต้องคิดไกลนะแม้แต่เรื่องเสรีภาพศาสนา เสรีภาพการศึกษา นักเรียนเลวต้านกราบครู อะไรเทือกนี้ก็ไม่ค่อยกล้าแตะ) ต้อง compromise ประสานผลประโยชน์อยู่ตลอดทั้งในและนอกพรรค
อนาคตใหม่ก้าวไกลเป็นตัวแทนของคนชั้นกลางในเมืองรุ่นใหม่ Gen Y Gen Z ยุค Disrupt (อันที่จริงตอนนี้ก้าวข้ามก้าวไกลไปถึงพรรคก้าวล่วงแล้วด้วย ) ซึ่งหาเสียงแบบใหม่ในโลกใหม่ เต็มไปด้วย ส.ส.รุ่นใหม่ ที่คุณจะไม่ได้เห็นคนแบบศิริกัญญา, รังสิมันต์ โรม, เบญจา แสงจันทร์ ฯลฯ ในปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย (เพราะต้องใช้โควตาสับหลีกประนีประนอม ส.ส.เขต) ทัศนะวิสัยห้าวเป้งกว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง รื้อระบบทุกด้าน ผู้สนับสนุนส่วนหนึ่งก็เป็นคนเคยเลือกเพื่อไทยแต่อึดอัดไปไม่ถึงไหนสักที
:
ไม่ต้องทะเลาะว่าใครเหนือกว่า ผมสนับสนุนการมี 2 พรรคแข่งกัน มากกว่าพรรคเดียวผูกขาด ผมจึงเลือกระบบเยอรมัน ซึ่งมันจะสะท้อนคะแนนเสียงประชาชนต่างกลุ่ม-แม้แต่ในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน เข้ามาอยู่ในสภาอย่างเป็นจริง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
Yesterday at 12:21 AM ·
ชวนฝ่ายค้านมองไปข้างหน้า สามัคคีคนโค่นเผด็จการ
รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพวก ทำลายพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย ผมไม่ยอมรับเหมือนกับที่หลายคนหลายฝ่ายแสดงจุดยืนกันมาโดยตลอด
สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องมีสสร.จากประชาชนยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ผ่านการทำประชามติแล้วบังคับใช้
แต่ก็เห็นชัดเจนว่าฝ่ายผู้มีอำนาจต้องการจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นหลักประกันให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงถูกปฏิเสธหรือถูกตีตกระหว่างทางอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
จนมาถึงวันนี้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังเป็นเรื่องใหญ่ทางการเมือง เกิดวิวาทะระหว่างสองพรรคร่วมฝ่ายค้านสำคัญคือ “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” สิ่งที่ถกเถียงกันมากประเด็นหนึ่งก็คือการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งจาก “บัตรใบเดียว” เป็น “บัตรสองใบ” แบบรัฐธรรมนูญ 40
ซึ่งเรื่องนี้ “พลังประชารัฐ” เขายื่นเข้าสภาไปแล้ว
“เพื่อไทย”ก็ยื่นเข้าสภาตามไปเมื่อวันก่อน
ส่วน “ก้าวไกล” แสดงความไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ชัดเจน เสนอบัตรสองใบ นับคะแนนจัดสรรปันส่วนผสมแบบเยอรมัน
ทั้งระดับแกนนำและกองเชียร์ของทั้งสองพรรคต่างแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันไปมา เรื่องนี้ถ้าหากไม่หาข้อยุติดี ๆ ทำท่าจะกลายเป็นความขัดแย้งใหญ่ในฝ่ายประชาธิปไตย
ในทัศนะของผม ซึ่งถือเป็นมิตรของทั้งสองฝ่าย “เพื่อไทย” นี่บ้านหลังที่เคยอยู่ “ก้าวไกล” ก็เพื่อนมิตรพี่น้องในฝ่ายประชาธิปไตยที่เคยร่วมต่อสู้ร่วมแนวทางต่าง ๆ มาด้วยกัน ผมเห็นว่าทั้งสองพรรคไม่ควรเปิดฉากวิวาทะกันด้วยเรื่องนี้ และไม่ควรจะปล่อยให้ประเด็นนี้ขยายผลลุกลามใหญ่โตไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะสาระสำคัญที่สุดในการไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือการสืบทอดอำนาจของคสช. และหลายประเด็นเป็นอุปสรรคสำหรับระบอบประชาธิปไตย
เรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียวผมไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น แสดงความคิดเห็นไว้ตั้งหลายรอบ ตั้งแต่เขาร่างกันเสร็จและเข้ากระบวนการทำประชามติ ไม่ต้องพูดซ้ำ!
ตอนเขาทำประชามติ ผมคนหนึ่งล่ะเรียกร้องว่าควรมีบัตรเลือกตั้งสองใบแบบรัฐธรรมนูญปี 40 วันนี้ก็ยังย้ำคำเดิม ไม่กลืนน้ำลาย
แต่วันนี้ผมเห็นว่าบัตรกี่ใบไม่ใช่เรื่องใหญ่ หัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ควรบังคับใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศอีกต่อไป การมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวหรือสองใบ ไม่ใช่คำตอบให้พล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้นไปจากเวทีอำนาจ!
ขณะที่เมื่อเกิดข้อโต้แย้งของทั้งสองฝ่าย อันนี้ขอพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา พรรคพวกจะไม่พอใจก็น้อมรับว่า “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” โต้แย้งกันเรื่องบัตรสองใบแบบปี 40 กับแบบเยอรมันนั้น มีภาพสะท้อนผลประโยชน์ทางการเมืองของแต่ละฝ่ายปนอยู่ด้วย จะด้วยเจตนาบริสุทธ์เรื่องหลักการประชาธิปไตยอย่างที่ทั้งสองพรรคพูด ผมก็เชื่อนะครับ แต่ปฏิเสธข้อเท็จจริงเรื่องผลทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายไม่ได้จริง ๆ
ถ้าเลือกตั้งแบบบัตรสองใบตามรัฐธรรมนูญปี 40 “เพื่อไทย” มีโอกาสกลับมาแข็งแรงขึ้น ได้ส.ส.มากกว่าเดิม
ถ้าเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ นับคะแนนแบบเยอรมัน “ก้าวไกล” ก็มีโอกาสได้ส.ส.มากเท่าเดิมหรือมากกว่า
ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิที่จะอธิบายหลักการและจุดยืนของตนให้กับประชาชนได้รับทราบ แต่เมื่อประชาชนเข้าใจก็จะเข้าใจพร้อม ๆ กับภาพสะท้อนที่ผมได้ชี้ให้เห็น
การที่ “เพื่อไทย” จะโหวตเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบตรงกับ “พลังประชารัฐ” แล้วจะไปกล่าวหาว่า “เพื่อไทย” สมคบคิดกับเผด็จการไปแล้วเห็นว่าไม่เป็นธรรม ในระหว่างมิตรไม่ควรตั้งข้อกล่าวหากันถึงขั้นเป็นตายขนาดนี้
ในส่วนของ “พรรคเพื่อไทย” ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปตอบโต้ “ก้าวไกล” ให้ยาวความ คำชี้แจงของ “เพื่อไทย” ว่าด้วยความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ 40 ว่าด้วยจุดยืนเดิมที่เรียกร้องมาตลอด กรณีบัตรสองใบเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ “เพื่อไทย” ก็ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าการที่พรรคการเมืองอันดับ 1 ของฝ่ายค้านกับพรรคการเมืองอันดับ 1 ของฝ่ายรัฐบาลลงมติเห็นชอบร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องเข้าใจยากทางการเมือง
เดินไปข้างหน้า “เพื่อไทย” ก็จะเดินไปพร้อมกับคำถามข้อหนึ่งติดตัวตลอดเวลาว่า ทำไม “พลังประชารัฐ” จึงเห็นชอบกับแนวทางเลือกตั้งที่ “เพื่อไทย” มีโอกาสโตขึ้น แข็งแรงขึ้น ขณะที่ “พรรคก้าวไกล” อย่างที่ผมพูดนะครับว่า การเรียกร้องบัตรสองใบแบบเยอรมันมีสิทธิที่จะถูกตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่าเพราะแบบนั้น “ก้าวไกล” จะได้มากกว่า
ผมว่าถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องตั้งหลักกันดี ๆ นะครับ การยังคงโต้แย้งกันในประเด็นเหล่านี้จะเปลืองทั้งตัว เปลืองทั้งแรง เปลืองทั้งเวลา สิ่งที่อยากจะเสนอก็คือพรรคฝ่ายค้านในสภาทุกพรรคควรจะตกผลึกทางความคิดแล้วแสดงออกอย่างเป็นเอกภาพ ผลักดันให้กฎหมายประชามติผ่านสภา มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ถึงตรงนั้นจะต้องเดินไปพร้อม ๆ กับการหลอมรวมพลังของภาคประชาชนทุกกลุ่มทุกส่วน ชวนกันทำยุทธหัตถีกับอำนาจคสช. โดยการทำประชามติให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มีสสร.จากประชาชนมายกร่างฯ
ผมเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะเป็นกระแสสูง จะได้รับการตอบรับจากผู้คนหลากหลาย พรรคฝ่ายค้านมีจุดร่วมสำคัญกันได้ในเรื่องนี้ ความเป็นเอกภาพก็ยังอยู่ ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการใช้หอกทมิฬแทงทมิฬ แทนที่พรรคฝ่ายค้านจะเผชิญหน้ากันเองเรื่องระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียว บัตรสองใบ จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ประชาธิปัตย์” อย่าง “ภูมิใจไทย” แม้กระทั่ง “ชาติไทยพัฒนา” ต้องแสดงท่าทีและตอบคำถามประชาชนว่าเอาหรือไม่เอาให้มีสสร.มายกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
“ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา” เลือกที่จะยืนกับประชาชน หรือ เลือกที่จะยืนใต้อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์และเผด็จการคสช.ต่อไป
ผมไม่ได้มองโลกสวย ผมเข้าใจดีว่าการลงประชามติให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะ เกิดสสร.มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อเผชิญกับอำนาจรัฐ เมื่อเผชิญกับอำนาจทุน เมื่อเผชิญกับกลเกมของฝ่ายผู้มีอำนาจ แต่นี่คือสนามใหญ่ที่ทุกคนทุกส่วนจะสู้ร่วมกันได้
และนี่คือเดิมพันใหญ่ที่ไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองของใครกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ แต่คือผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนที่จะเดินหน้าไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ผมคิดว่าลดแรงเสียดทานระหว่างกันตั้งแต่วันนี้ แล้วจับมือกันทำศึกใหญ่ในการทำประชามติดีกว่า!
ในฐานะพรรคใหญ่ต้องพยายามสร้างความสามัคคีรวมหมู่ แสดงบทบาทผู้นำในสภา เดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ได้ “ก้าวไกล” ก็คงไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเกินไปมากอะครับ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ “พลังประชารัฐ” เขาทำให้เห็นชัดอยู่แล้วว่ามีสิทธิที่จะหักลงกลางทางได้ตลอดเวลา
วันที่ 24 มิถุนายน ถ้าผ่านวาระแรกเรื่องการบัตรเลือกตั้งสองใบแบบปี 40 ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินได้สุดทางจนมีผลบังคับใช้ ดังนั้นทุกฝ่ายควรถอยมายืนหลักเดิม ไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ สร้างความสามัคคีต่อสู้กันต่อไป
ทำเถอะครับ เริ่มต้นจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในสภานั่นแหละ แล้วก็มาจับมือกับทุกภาคส่วนที่อยู่ข้างนอก ผมไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร แต่ถ้าจะจับมือกันสู้ประชามติเพื่อให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมเอาด้วย!