วันอาทิตย์, มิถุนายน 27, 2564

ล่มสลายของเราไม่เท่ากัน : เกิดอะไรขึ้นกับห้องฉุกเฉินในกรุงเทพฯ . เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย



วันนี้ชั้นติ่งอะไร
June 24 at 8:46 AM ·

ล่มสลายของเราไม่เท่ากัน : เกิดอะไรขึ้นกับห้องฉุกเฉินในกรุงเทพฯ
.
เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย
.
หลายปีก่อนเกิดการระเบิดขึ้นในกรุงเทพฯ วันนั้นเราเป็นชีฟเวรห้องฉุกเฉิน ได้รับคำสั่งให้ทำการเคลียร์เตียงเพื่อรองรับผู้บาดเจ็บจำนวนมหาศาล
.
เราหันไปมองรอบตัว คนไข้จากทั่วสารทิศนอนกองเรียงรายเต็มทางเดิน
.
เป็นเวลานานมากแล้ว ที่ระบบสาธารณสุขของ กทม. หมิ่นเหม่ “ล่มสลาย”
.
เตียงเต็มตลอดเวลา ผู้ป่วยจึงคาอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน นอนเรียงรายกันไป แต่เราก็ประคับประคอง ทำทุกทางเท่าที่เราทำได้ หลายปีผ่านไป เรื่องเหล่านี้กลายเป็นกิจวัตรที่ดูธรรมดา
.
มีผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดนอนรอเตียงในห้องฉุกเฉินถึง 20 วัน กระทั่งหายป่วยกลับบ้านได้โดยไม่เคยขึ้นไปถึงหอผู้ป่วยเลย
.
เคยมีคนจมน้ำถึงขั้นปั๊มหัวใจ แต่ก็ใส่ท่อนอนรอเตียง กระทั่งเอาท่อออก กระทั่งได้กลับบ้านและนัดมากายภาพ โดยไม่เคยขึ้นไปถึงหอผู้ป่วยเลย
.
เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปกติธรรมดา แต่เป็นเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นความธรรมดาไป
.
หลายปีผ่านไป สิ่งเหล่านั้นยังเหมือนเดิม
.
ในวันนั้นเราทำการถอดออกซิเจนออกจากคนไข้บางคน เพื่อเอามาให้อีกบางคน
.
.

.
.
เดือนกว่าที่ผ่านมา เกิดคลัสเตอร์การระบาดรอบใหม่ในกรุงเทพฯ
.
ช่วงแรกเราเฝ้ารอ รอดูว่ากรุงเทพฯเตรียมพร้อมไว้อย่างไร
.
ตลอดปีกว่าที่ผ่านมา เราและด่านหน้าตามแนวชายแดนทำงานหนักสกัดโรคไว้ ไม่ว่าจะเกิดกี่คลัสเตอร์ ก็พยายามดักจับ ตีวง จบคลัสเตอร์เหล่านั้นลงให้จงได้ และภูมิใจว่าตนเป็นปราการด่านสำคัญ ปกป้องศูนย์กลางของประเทศ อุ้มชูเศรษฐกิจให้เดินหน้า
.
หวังเพียงว่า ส่วนกลางจะใช้เวลาที่ซื้อให้นี้เตรียมพร้อมสู้ศึกใหญ่
.
แต่กรุงเทพฯกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
.
ยังคงอ่อนแอเปราะบางเหมือนอย่างวันนั้น
.
ห้องฉุกเฉินยังคงเต็มไปด้วยผู้คนคราคร่ำ นอนแออัดกัน รอการรักษาอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
.

.
“เป็นไง”
.
หลังเห็นตัวเลขที่ค่อยๆไต่ขึ้น เราต่อสายหาเพื่อนที่ห้องฉุกเฉินในรพ.ตู้ซ่อนผีของกรุงเทพฯ
.
เราหวังจะพบคำตอบจากเพื่อนที่ปกติสดใสพูดมาก ทำนองว่า เฮ้ย หนักมาก พลางบ่นกะปอดกะแปดหาที่ระบาย แต่ปลายสายกลับเงียบไป ก่อนจะตอบกลับมา
.
…ด้วยเสียงร้องไห้
.
เราปล่อยให้ร้องไปแบบนั้นอยู่พักหนึ่ง
.
.
จำนวนผู้ป่วยทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าตกใจคือจำนวนผู้ป่วยระดับเหลืองและแดงที่มากกว่ารอบก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้
.
การมีโรงพยาบาลสนาม อาจพอช่วยผู้ป่วยสีเขียว ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และรักษาทันเมื่ออาการทรุดลงได้ แต่ส่วนมากไม่สามารถดูแลเคสสีเหลือง ซึ่งต้องการออกซิเจนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคสสีแดงระดับวิกฤติ ที่ต้องการเครื่องช่วยหายใจ และการดูแลยังใกล้ชิดระดับ ICU
.
เมื่อเตียงเต็ม ผู้ป่วยสีเขียวอาจพอกลับบ้านได้ แต่ผู้ป่วยสีเหลืองหรือแดง ไม่อาจไปไหนได้ จึงค้างอยู่ในห้องฉุกเฉินจนกว่าจะจากกันไปด้วยวิธีแตกต่างกัน
.
“ไปป์ออกซิเจนหมดทุกเวร”
.
เพื่อนเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
.
“เราก็เลือกเอา บางทีเราก็เลือกไม่เอาคนแก่ติดเตียง เอาให้เด็ก”
.
เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ
.
“แล้วเค้าก็ไป”
.
เพื่อนเงียบ
เราก็เงียบ
.
ความรู้สึกนั้น เราเข้าใจ
.
.

.
.
ทุกเช้า จะมียอดเตียงว่างโผล่ขึ้นมาในระบบ ข่าวก็ออกว่าเรายังมีเตียงรองรับได้
.
แต่ช่วงสาย เตียงพวกนั้นก็จะหายไป เพราะค่อยๆรับคนไข้ที่ค้างจากห้องฉุกเฉินขึ้นไปทีละคนสองคน
.
“แต่คนไข้ไม่หมดนะ ที่เหลือก็ค้างER แต่นับยอดยังไงไม่รู้”
.
เพื่อนอีกคนที่ไม่เจอกันนานเหมือนกันเล่าต่อ
.
“แล้วสายๆก็มาเพิ่ม ก็คงบ้านที่เราตรวจเจอเมื่อหลายวันก่อนแหละ”
.
.
สภาพสังคมกรุงเทพฯ ถ้าไม่ใช่คนโสดอยู่คนเดียว ก็คือครอบครัวที่รวมกันในที่เล็กๆ คนหนึ่งติด อีกคนจะไม่ติดได้อย่างไร ยิ่งอยู่กันแบบเมืองใหญ่ ไม่มีผู้ใหญ่บ้าน ไม่มีส่วนกลางที่เข้มแข็งพอจะดูแล
.
“แถมบางคนก็มาตอนแย่แล้ว ทำไมรู้มั้ย...”
.
เราส่งเสียงไปตามสาย พอให้รู้ว่ารอฟัง
.
“ก็ไม่มีที่ไหนยอม PCR ไง ใครทำก็รับไปหาเตียง”
.
เพื่อนสบถออกมาอีกคำสองคำ ยอดเตียงที่ขึ้นตอนเช้าพอให้ได้ออกข่าว มันไม่ใช่เตียงว่าง คำว่าเตียงช่างสวยงาม แต่ไม่มีอยู่จริง
.
.

.
2-3 วันที่ผ่านมา เริ่มมีคนแปลกหน้าเข้ามาขอตรวจที่รพ.
.
บ้างก็เล่าเรื่องญาติกลับจากต่างจังหวัด บ้างก็ว่าทำงานไปๆกลับๆ แต่ถามไปถามมาต่างก็ยอมรับ ว่าพวกเขาเหล่านั้นหนีกลับจากกรุงเทพฯ เพราะหาที่ตรวจรักษาไม่ได้อีกแล้ว
.
เรารับทุกคนเข้านอนในรพ. ยอดผู้ป่วยเริ่มพุ่งขึ้นอีกครั้งอย่างน่ากังวลใจ
.
โรงพยาบาลเล็กๆทั่วประเทศ กำลังจะเผชิญผึ้งแตกรัง กำลังจะพบผู้ป่วยหนีตาย พวกเขาเหล่านั้นจะมีกำลังพอยันได้นานแค่ไหน ยังไม่พูดถึงว่าบางส่วนถูกตัดกำลังไป เพื่อมาดูแลผู้ป่วยในกรุงเทพฯและหัวเมืองที่รับคลัสเตอร์ใหญ่ๆนานแล้ว
.
นี่อาจเป็นจุดตายที่ผู้ใหญ่ไม่เคยนึกถึง
.
.

.
.
หลายเดือนมาแล้ว ที่หมอตัวเล็กตัวน้อยรวมถึงเรา(ในชีวิตจริง)พยายามส่งเสียง ให้ผู้ใหญ่หลายฝ่ายได้รับทราบ กรุงเทพฯไม่เคยเข็มแข็ง แต่เป็นพื้นที่เปราะบาง กระทบเพียงนิดเดียวก็พร้อมแตกสลาย
.
และเมื่อใดกรุงเทพฯพัง เมื่อนั้นผู้คนจะแตกกระจาย มุ่งหน้าหาทางรอดชีวิต
.
เมื่อนั้นโรงพยาบาลทั่วทิศ จะพบกับความวิบัติแตกต่างกันไป
.
แต่ก็เหมือนหมอหลายๆคน ที่เป็นแค่คนตัวเล็กตัวน้อยไม่มีค่าอะไร ไม่ว่าจะส่งเสียงทางช่องทางไหน ถ้าไม่ใช่ว่าไร้คนสนใจ ก็จะโดนปิดปาก และตักเตือนในระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันอยู่เสมอ
.
เรารับราชการ เข้าใจวัฒนธรรมองค์กรนี้ดี หน้าตาสำคัญกว่าอะไร เน้นเก็บใต้พรม มีอะไรห้ามพูดมาก เแต่วิธีการแบบนั้นมันคือ “การหลอกตัวเอง” หลอกคนอื่น หลอกประชาชน
.
เราทำไม่ได้ตลอดไป
.
ถึงเวลาแล้ว หรือจริงๆควรใช้คำว่ามันสายไปนานแล้ว ที่จะยอมรับว่าประเมินสถานการณ์ผิด เตรียมตัวน้อย บริหารงานไม่เป็น เอาแต่ทำอะไรไร้สาระ ปล่อยให้ประชาชนล้มตาย
.
แต่ก็คงดีกว่าถ้าจะไม่ทำอะไร และมองดูประเทศชาติ(ในหลายๆความหมาย)ล่มสลายไปกับตา
.
+++
.
เพจนี้เป็นเพจไร้สาระนะคะ และแอดก็พักเพจเพราะงานยุ่งมากมาหลายเดือนแล้ว แต่วันสองวันมานี้ อยู่ๆก็เห็นหมอดังๆหลายคนออกมาคอลเอาท์อย่างไม่กลัวอันตราย รู้สึกดีใจมากๆค่ะ เราเข้าใจว่าทำไมหมอไม่ค่อยคอลเอาท์ เพราะตัวเรา(ในชีวิตจริง)ก็เคยต้องจ่ายราคาแพงมากกับการลุกขึ้นต่อต้านความอยุติธรรมบางอย่างมาแล้ว (แต่ก็ไม่เลิกนะ จ่ายบ่อย 555)
.
เราสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยเฉพาะหมอออกมาพูดสิ่งที่ตนคิดนะคะ
.
ทั้งนี้ เราทราบว่าหลายๆคนคงแค้นหมอที่ออกมาเป่านกหวีดหนีคนไข้มาไล่อีปูว์ ตอนนั้นตัวเราก็ไม่เห็นด้วยกับพวกอาจารย์ค่ะ แต่เราไม่กล้าพอจะต่อต้าน และกลายเป็นแผลใจมาตลอด เราขอโทษที่เราไม่กล้าพอนะคะ (เพราะงั้นเลยบอกตัวเองทุกครั้งว่าต้องกล้า ลุกสิ ลุกขึ้นไปพูด พูดเสร็จก็โดนคิลตลอด แต่สบายใจ) ดังนั้นถ้าอยากระบายใต้โพสต์นี้ได้เลยค่ะ เราจะรับคำด่าไว้เอง แต่เราไม่อยากให้ตามด่าหมอที่เปิดหน้าสู้ หรือถ้าไม่ไหวอยากเหน็บ เหน็บไปเชียร์ไปน่าจะดี เพราะตอนนี้เรากำลังหวังให้เค้าออกมาเปิดตัวมากขึ้นเรื่อยๆใช่มั้ยคะ