วันอาทิตย์, มิถุนายน 27, 2564

ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม



Roundfinger
2h ·

ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม
---
หลับไปแล้วตื่นมาตอนตีสอง เห็นข่าวล็อกดาวน์ท่ามกลางเสียงร้องระงมของผู้คนทำกิจการค้าขาย เห็นแล้วก็เห็นใจเพื่อนพี่น้องและสงสารตัวเอง
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโรคระบาด สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกคือความไม่แน่นอนที่เกิดจากการบริหารจัดการของร้าบานที่ทำอะไรเหมือนไม่เห็นหัวประชาชน
1. ไม่จริงใจเปิดเผยปัญหาและบอกข้อมูลที่จำเป็น ทำให้ทุกคนทุกธุรกิจไม่รู้จะวางแผนรับมือยังไง
2. ไม่เคยมีการบอกแผนการล่วงหน้า แต่ใช้วิธีประกาศฉุกละหุก (เช่นเที่ยงคืน???) ทั้งที่เมื่อวานยังชูสองนิ้ว victory อยู่เลย
3. ตัดสินใจในเรื่องที่มีผลต่อคนจำนวนมหาศาลแต่ไม่มีมาตรการเยียวยาช่วยเหลืออย่างทั่วถึงในรูปแบบต่างๆ
พวกท่านกำลังทำงานที่รับผิดชอบกับความเป็นความตายของประชาชน ทั้งตายจากโรคระบาดและตายจากตกงาน ธุรกิจพัง รวมทั้งตายจากหมดแรงสู้ ท้อใจ ใจสลาย อยากรู้ว่าท่านๆได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม หรือเสียงหัวเราะของคนรอบตัวกลบไปหมดแล้ว งงจริงๆ ว่าหัวเราะปล่อยมุกกันแบบนั้นได้ยังไง แล้วถัดมาอีกวันก็มาประกาศล็อกดาวน์ตอนเที่ยงคืน โดยจะมีผลในอีก 2 วันถัดไป
เห็นรอยยิ้ม การปล่อยมุก เสียงหัวเราะคึกครื้นของท่านแล้วอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าท่านรับรู้ความเจ็บช้ำของประชาชนบ้างไหม โรคระบาดอาจไม่กระทบรายได้และความเป็นอยู่ของพวกท่านเพราะไม่เคยมีไอเดียที่แสดงถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนแต่อย่างใด ท่านเหมือนอยู่คนละโลกกับประชาชนจริงๆ ครับ
เค้าจะตายกันหมดแล้ว--ท่านได้ยินบ้างเถอะครับ
ได้พูดคุยกับเพื่อนที่ทำธุรกิจที่ปรับตัวแล้วปรับตัวอีก เปลี่ยนมาสามธุรกิจตั้งแต่โควิดเกิดขึ้น แต่จากการไม่มีภาพระยะยาวจากภาครัฐและเปลี่ยนแปลงไปมา ทำให้เขาท้อใจและหมดแรง ผู้คนในองค์กรก็หมดใจ
เค้าจะซึมเศร้ากันหมดแล้ว--ท่านได้ยินบ้างเถอะ
ทำอะไรคิดถึงความทุกข์ ความเหนื่อย ความลำบาก และความเป็นความตายของประชาชนบ้าง
เข้าใจทุกครั้งที่มีคนบอกว่าประเทศอื่นก็มีปัญหา เข้าใจครับว่าปัญหานี้มันไม่ง่าย แต่สิ่งที่เข้าใจไม่ได้คือความไม่รู้สึกรู้สากับความเดือดร้อนของประชาชน เสียงหัวเราะ ใบหน้าระรื่น มุกไม่ขำ คำพูดล้อเล่นนะจ๊ะเหล่านั้นไม่ได้ช่วยคลายเครียดแต่อย่างใด ตราบที่วันหนึ่งประกาศอย่าง พอเที่ยงคืนอีกวันประกาศอีกอย่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนว่าท่านคิดถึงประชาชนน้อยเหลือเกิน
เห็นผู้คนช่วยเหลือกัน ธุรกิจก็ซัพพอร์ตกัน คนตัวเล็กตัวน้อยดิ้นรนทุกวิถีทาง พยายามปรับตัวขูดเค้นสมองมาแก้วิกฤตในมุมส่วนตัว แล้วหันมาเจอการทำงานของฝั่งรัฐบาลแบบนี้แล้วท้อใจจริงๆ
ประชาชนเต็มที่แล้ว ท่านทำอะไรที่ดีกว่านี้เพื่อประชาชนบ้างหรือยัง
ถ้าทำไม่ได้ ลาออกเถอะครับ
ออกไปเถอะครับ
ชีวิตประชาชนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเราได้เห็นความจริงใจ ความพยายามในการหาวัคซีนที่หลากหลายตั้งแต่ต้น การคิดถึงประชาชนก่อนผลประโยชน์ของตัวเองหรือคนได้เปรียบทั้งหลาย ความโปร่งใสในการแก้ปัญหา ความตรงไปตรงมาในการแจ้งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงศักยภาพและฝีมือในการรับมือรวมถึงสื่อสาร ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายก็จะสู้ไปด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาทั้งหมดมันไม่ใช่เลย
ท่านควรได้ยินเสียงความทุกข์จากประชาชนให้ชัดๆ สองรูหูของพวกท่านบ้าง ซึ่งมาถึงวันนี้เราได้ยินเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ แทรกจากเสียงโอดครวญจากความเจ็บปวดท้อใจ นั่นคือเสียงที่บอกว่า "ไม่ไหวก็ออกไปเถอะครับ"
ถ้าพวกท่านไม่เต็มที่ก็ควรออกไป ถ้าเต็มที่แล้วได้แค่นี้ก็ควรออกไปเช่นกัน ไม่ใช่จะไม่เห็นใจ แต่ท่านไม่เห็นใจประชาชนก่อน ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันหรือคิดถึงประชาชนเป็นหลัก เสียงหัวเราะท่ามกลางทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นเครื่องยืนยันสิ่งนี้ การประกาศตอนเที่ยงคืนยิ่งตอกย้ำ
ประชาชนทำเต็มที่แล้ว เราต้องการผู้นำที่มีหัวจิตหัวใจเรามากกว่านี้ มีศักยภาพกว่านี้ ไม่งั้นเราจะตายกันหมดจริงๆ ไม่เฉพาะจากโรคระบาด แต่จากความท้อใจ สิ้นหวัง หมดแรง ที่จะต้องเผชิญความไม่แน่นอนซ้อนความไม่แน่นอนที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ
ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหมครับ หรือเสียงหัวเราะของคนรอบตัวของท่านมันดังกลบไปหมดแล้ว???
#ลาออกไปเถอะครับ
.....
Sujane Kanparit
2h ·

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปซื้ออะไหล่ก็อกน้ำที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ตอนขนของแล้วยกเดินมาใส่หลังรถ เจอลุงคนหนึ่งเดินเหงื่อโทรม ฟังสำเนียงแกน่าจะเป็นคนต่างจังหวัด แกเดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้าหวายสวยมากๆ แล้วถามว่าผมสนใจไหม
ผมตกลงซื้อเพราะมีที่ห้องใบหนึ่ง ทำให้รู้ว่าตะกร้าหวายสานด้วยมือนี่คือทนทานที่สุดแล้ว แถมแกขายราคาถูก ใบละแค่สามร้อย
ที่ผมตกใจมากคือแกยกมือไหว้ท่วมหัว แกบอกผมเมตตาแกมาก แกเดินมาทั้งวันแล้ว แกขายไม่ได้เลยสักใบ จนผมกับคนที่ไปด้วยกันต้องบอกว่าอย่าคิดแบบนั้น ของแกดีและนี่คือการซื้อขายของ ไม่ใช่บุญคุณใดๆ ที่แกต้องมาขอบคุณผมขนาดนั้น
ตอนนั้นผมไม่มีเงินสดติดตัว (หลังๆ ซื้อของโอนผ่านแอพจนไม่พกเงิน) ก็อึ้งๆ เพราะแถวนั้นไม่มีเอทีเอ็มเลย
ปรากฎแกบอกแกมีพร้อมเพย์ โอนได้ (มือถือแกเก่าแต่พอรันแอพได้) แกใช้เวลาสักพักเพ่งจอมือถือตัวเอง เปิดเลขบัญชีให้ ก็โอนให้แกไป เมคชัวร์ ถามว่าลุงได้เงินเข้าบัญชีแล้วแน่นะ แกบอกแกตาไม่ดี มองโทรศัพท์ไม่เห็นหรอก ใช้แอพก็ไม่ค่อยเป็น เราก็ขอให้แกลองตรวจสอบดีๆ แกเลยโทรไลน์ไปหาลูกให้ลูกเช็ค
ตอนนั้นเลยรู้ว่าแกมาจากจังหวัดหนึ่งในอีสาน เดินเร่ขายตะกร้าสานไปเรื่อยๆ (ท่ามกลางเมืองที่เงียบยังกับป่าช้า) ข้าวก็ยังไม่ได้กิน
คิดแล้วก็จุกอก ตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ยังมีข้าวกิน ยังมีเงินไปซื้อของมาซ่อมก็อกที่ห้องได้ ยังไม่ติดโรคระบาด
มองแกเดินลับตาไปผมได้แต่คิดถึงว่า เมื่อหลายปีก่อน บ้านแกคงทำมาหากินได้ มีประกันราคาข้าว มีกองทุนหมู่บ้าน ถ้าไม่เกิด รปห. 49 และ 57 ลูกแกอาจจะได้เรียนถึงปริญญาเอกจากทุนหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน
ประเทศจะเจริญแค่ไหนหากเพื่อนร่วมชาติของเรามีโอกาสทางการศึกษา และลุงแกควรได้พักผ่อนใช้ชีวิตบั้นปลายทำสิ่งที่แกอยากทำ ไม่ต้องมาตรากตรำ เดินเร่ขายของเสี่ยงไวรัสแบบนี้
ได้แต่อุกอั่ง แล้วก็ทุเรศตัวเอง ที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
คนจนประเทศนี้สู้จนถึงที่สุดแล้ว แต่โครงสร้างเหี้ย เขาลืมตาอ้าปากไม่ได้
คุณคิดว่าเขาจะมีอะไรให้พอเพียงไหม