วันศุกร์, พฤษภาคม 14, 2564

เพื่อไทยเชิญชวนทุกท่าน #คืนความจริง ให้คนเสื้อแดง ด้วยการส่งข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง โดยไม่จำกัดรูปแบบ ข้อมูลที่ส่งมาทั้งหมด พรรคเพื่อไทยจะรวบรวม จัดระเบียบเพื่อให้ง่ายต่อการค้นคว้าศึกษาและนำเสนอในลำดับต่อไป- วันนี้ประเดิมเรื่องของ ม้าเร็ว



พรรคเพื่อไทย
Yesterday at 1:00 AM ·

“ก่อนปี 2549 ผมก็ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ทำงาน เลิกงาน ถ้าไม่มีสังสรรค์อะไรก็กลับบ้าน นอน ตอนนั้นผมทำงานที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์กับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเมืองอะไรเลย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เริ่มมีอินเตอร์เน็ตเข้ามา ผมก็ซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้บ้าง เริ่มดูว่าในอินเตอร์เน็ตเขาพูดหรือสนใจอะไรกันบ้างในเชิงการเมือง ผมก็เริ่มจากเข้าเว็บบอร์ด ‘พันทิป’ ซึ่งจะมีห้องการเมืองชื่อ ‘ราชดำเนิน’ ผมก็สมัครสมาชิกพันทิปเพื่อเข้าไปดูว่าใครพูดอะไรบ้าง ผมเริ่มสนใจการเมืองในช่วงนั้น แต่พอหลังๆ แอดมินก็เริ่มแบนคนนู้นคนนี้ มีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของบางแอคเค้าท์ หนึ่งในนั้นก็คือรวมถึงผมด้วย กลุ่มคนที่ถูกปิดกั้นเลยชวนกันไปตั้งกลุ่ม ‘กลุ่มคนวันเสาร์ ไม่เอาเผด็จการ’ ที่เราตั้งชื่อวันเสาร์เพราะสมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนทำงานจะมาพูดคุยกันได้แค่วันหยุด ตอนนั้นก็ประเมินกันแล้วว่าจะต้องมีการปฏิวัติแน่ แนะให้ทักษิณระวังตัว หาทางป้องกันไว้ก่อนอะไรพวกนี้ก็เรียกว่าพูดตามหลักความจริง กลุ่มคนวันเสาร์ไม่ได้เชียร์ทักษิณทุกคนนะ ไม่ได้รักฝั่งไทยรักไทยทุกคน เพียงแต่ว่าพวกเราเห็นความไม่ถูกต้องของปัญหาทางการเมืองในครั้งนี้
.
“19 กันยา 2549 เกิดการรัฐประหาร ยอมรับตามตรงว่าวันนั้นผมค่อนข้างเครียด ผมตามข่าวนาทีต่อนาทีไม่ได้หลับไม่ได้นอน มีแต่คนอยากจะเชียร์ทักษิณให้สู้ แต่หลายกระแสเชื่อว่า ทักษิณไม่คิดว่าจะเกิดการปฏิวัติ ทางกลุ่มวันเสาร์ฯ ก็มีการประชุมกันว่าจะไปปราศรัยต่อต้านการรัฐประหารที่สนามหลวง เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้คนทั่วไปได้รับรู้ ตอนนั้นคนปราศรัยก็มี อาจารย์พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ และอาจารย์อีกสองสามคนที่ค่อยให้ข้อมูลต่างๆ
.
“ช่วงแรกที่กลุ่มคนวันเสาร์ฯ ทำการปราศรัยก็ยังเป็นแค่การใช้โทรโข่ง ยืนบนเก้าอี้ พูดปราศรัย มีคนมาฟังนิดหน่อย ไม่กี่คน แต่พอเริ่มจัดบ่อยๆ ก็มีคนมามากขึ้น เราก็เปลี่ยนมาใช้เวทีแทน เราก็ไปขนของตั้งแต่ 11 โมง เข้าสนามหลวงก็เซ็ตอัพ เลิกปราศรัยเสร็จห้าทุ่มก็ขนอุปกรณ์เก็บ ตอนนั้นเราเริ่มมีการถ่ายทอดเสียงเป็นลักษณะวิทยุออนไลน์ ใช้โน็ตบุ๊ก 2-3 เครื่องที่มีโปรแกรม SAM Broadcast ไว้ถ่ายทอดเสียงปราศรัยจากบนเวที เวลาถ่ายทอดเรานั่งกันคนละจุดเพราะถ้าเครื่องแรกมีปัญหา อีกเครื่องก็จะต้องถ่ายทอดต่อทันที เราต้องเช่า Server สำหรับถ่ายทอดสัญญาณ ซึ่งเซิร์ฟไทยสัญญาณดีแต่ถ้าทางการ (รัฐบาล) รู้เข้า ก็จะบล็อกเราทันที ก็เลยต้องไปเช่าเซิร์ฟจากต่างประเทศซึ่งสัญญาณไม่ค่อยดี
.
“นอกจากนั้น กลุ่มคนวันเสาร์ฯ เรายังทำของขาย ของที่ขายส่วนใหญ่คือมีความต้องการที่จะกระจายข้อมูลมากกว่า อย่างซีดีบันทึกเสียงปราศรัยเราขายแผ่นละสิบบาทยี่สิบบาท หรือจตุคามรุ่นปราบกบฎขายหนึ่งบาท อะไรยังนี้ เรานั่งทำกันเอง นั่งปั้นดินกันเอง มีการล่องเรือไปกลางแม่น้ำ เชิญพราหมณ์มาปลุกเสก แล้วมวลสารทั้งหมดเราก็สรรหามาอย่างถูกต้องตามประเพณี ซึ่งเป็นวิธีที่เราคิดจะขยายฐานมวลชนมากกว่า ไม่ได้เน้นหารายได้อะไร จริงๆ เราตั้งใจจะแจกวันยุบพรรคไทยรักไทย (30 กันยายน 2549) ด้วยแต่โดนเจ้าหน้าที่ยึดหมด เหลือรอดมานิดหน่อย
.
“จากที่เป็นวิทยุออนไลน์ก็พัฒนาเป็นการถ่ายทอดสดภาพด้วย เพราะวิทยุมันมีข้อจำกัด 1 สถานีรับคนได้ประมาณ 500 ถ้าคนที่ 501 ก็จะฟังไม่ได้ ช่วงนั้นคนฟังเริ่มเยอะขึ้น หลายๆ เว็บก็พ่วงสัญญาณภาพกระจายออกไป ซึ่งคุณภาพสัญญาณตอนนั้นก็แย่มาก เพราะเราใช้เว็บแคมเป็นกล้องถ่ายทอด อยู่ในบ้านแสงมันก็ปกติถ้าไปกลางแดดมันก็จะจ้า วิธีการแก้ก็คือเอาแว่นดำมามาบังกล้อง (หัวเราะ) เหมือนเรื่องตลกแต่เราทำแบบนั้นจริงๆ ขาตั้งกล้องก็ไม่มีก็ไปเอาไม้ม็อบมาดัดแปลงเป็นขากล้องเว็บแคม คนที่ผ่านไปผ่านมาก็คงงงว่าพวกนี้ทำอะไรกัน
.
“หลังจากทำไปได้สักพักหนึ่งก็เกิด นปก. (แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ ซึ่งพัฒนาเป็น นปช. ในภายหลัง) แล้วก็เริ่มมีเวที PTV เป็นครั้งแรก กลุ่มคนวันเสาร์ฯ ก็เปลี่ยนเป็นกองเชียร์แทน เหมือนส่งภารกิจให้เขาไปจัดการกันต่อ ผมก็เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของกลุ่ม นปก. นะ ยังตามไปถ่ายทอดสดเหมือนเดิม มีเวทีที่ไหนก็ไปกับเขาหมด ไปต่างจังหวัดก็ไป ถ้ามีเสวนาก็ตามไปบันทึกเทป
.
“จากนั้นการชุมนุมของกลุ่ม นปก. ก็เริ่มมีการเคลื่อนขบวน ไปตามสถานที่ต่างๆ ก็เริ่มคิดว่าจะถ่ายทอดอย่างไร ก็คิดที่จะดัดแปลงผมมอเตอร์ไซต์ ก็ไปซื้อตัวแปลงไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟ 220 โวลต์ เพื่อจะเอามาชาร์ตโน๊ตบุ๊กเพราะแบตโน๊ตบุ๊กอยู่ได้ไม่นาน แล้วก็เอาเข่งผลไม้ผูกตั้งไว้บนตะแกรงท้ายมอเตอร์ไซค์ เอาแบตเตอรี่ใส่ในนั้นแล้วเอาโน็ตบุ๊กวางด้านบนเข่งอีกที แล้วผมก็เป็นคนขับแล้วก็ให้แฟนนั่งหันหลังชนกันเพื่อควบคุมโน็ตบุ๊กขณะถ่ายทอดสด เอากล้องวางบนข้างตั้งกล้องติดกับหน้ารถไว้ซึ่งสามารถหันซ้ายหันขวาได้ ใครเห็นก็งงว่าทำอะไรกัน
.
“ช่วงนั้นเราเริ่มใช้ไวไฟถ่ายทอดภาพการชุมนุม เจอสัญญาณไวไฟใครใช้ได้ ก็ใช้เลย บางพื้นที่ไม่มีก็ใช้แอร์การ์ดใส่ซิม ซึ่งแต่ละค่ายก็มีสัญญาณไม่เท่ากัน ซึ่งผมมีซิมหมดทุกค่ายเลย เดือนหนึ่งก็จ่ายค่าซิมเยอะอยู่ ซิมนึงก็จ่ายเดือนละห้าหกร้อย เพราะเมื่อก่อนสัญญาณยังไม่ครอบคลุมเหมือนสมัยนี้ บางทีแค่ปากซอยก็ไม่มีสัญญาณแล้ว ปกติจะมีแค่ 2 ขีด 3 ขีด วันไหน ขึ้นมา 4 ขีดก็โคตรดีใจเลย ซึ่งสมัยนั้นสัญญาณมันจะเป็นวงกลม มันจะมีช่วงต่อถ้าเลยวงสัญญาณมันก็จะหลุด จนกว่าจะไปเจอวงสัญญาณอีกช่วงนึง แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้นะว่ามีคนติดตามดูถ่ายทอดสดเท่าไหร่ ผมไม่ได้สนใจเลยว่าจะเป็นอย่างไร
.
“2553 ผมอยู่ที่เวทีราชประสงค์ทุกวัน ตื่นเช้าไปทำงาน รีบเคลียร์งาน เก็บเช็คเสร็จก็เข้าเวที เวทีเลิกห้าทุ่มเที่ยงคืนก็กลับบ้าน ช่วงนั้นก็พัฒนาเป็นใช้สัญญาณภาพจากเวทีใหญ่มาถ่ายทอดในช่องทางของเราผ่านโน็ตบุ๊ก แล้วก็อัปลงในเว็บไซต์ ผมประจำอยู่ใต้เวทีผ้าดำคลุม 4 ด้าน ซึ่งกว่าจะได้รับรู้สถานการณ์ในการชุมนุมก็ต้องพร้อมเวทีใหญ่เท่านั้น
.
“วันที่ 10 เมษายน ตอนที่ผมอยู่ใต้เวทีราชประสงค์ บนเวทีก็รายงานสถานการณ์ของเวทีผ่านฟ้า ว่ามีคนเสียชีวิต มีเสียงปืน มีขบวนรถถัง จุดตรึงเครียดอยู่ตรงไหนบ้าง มี ฮ.บินมาโยนแก๊สน้ำตา เขาก็ประกาศมาเรื่อยๆ เราเองก็อยากรู้ว่าตรงนู้นเกิดอะไรขึ้นแต่ไปไม่ได้เพราะถ่ายทอดสดอยู่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ถ้าไปไม่มีใครถ่ายทอดตรงนี้ พอเวทีที่ราชประสงค์เลิกก็รีบไปเวทีผ่านฟ้า ตอนนั้นลองขับรถอยู่หลายทาง ขึ้นทางด่วนไปทางเพชรบุรีแต่หาทางเข้าไม่ได้
.
“ช่วงวันที่ 13-19 พฤษภาคม ความทรงจำผมค่อนข้างลางเลือนนะ จำไม่ได้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ออกจากเวทีใช้เส้นไหนกลับบ้าน เพราะมันมีหลายอย่างเกิดขึ้น มีความสับสน แต่จำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่าเครียด เสียใจ เห็นเพื่อนๆ โดนยิงจากคลิปข่าวต่างๆ ถ้าให้อธิบายความรู้สึกวันนั้นออกมาทั้งหมดคงยากมาก แต่จำได้ว่าผมเองเข้าไปถ่ายทอดทุกวัน ช่วงนั้นเกิดอะไรขึ้นมากมายจนจับต้นชนปลายไม่ถูก บางคืนก็มีเสียงตูมตามหรือได้ยินเสียงเหมือนอยู่ใกล้เรามาก แต่เราไม่เห็นอะไรเลยเพราะใต้เวทีมีผ้าคลุมทั้งสี่ด้านล้อมเอาไว้ จนวันที่สลายการชุมนุมเขาไม่ให้เข้า ผมก็หมดปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร
.
“แอบเสียดายเหมือนกันที่การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงหายไป แต่ผมเข้าใจว่าแกนนำทุกคนโดนอะไรบ้าง พอผมโดนเรียกไปปรับทัศนคติปี 2557 ถึงได้รู้ว่าการโดนกดดันมากๆ มันก็ทำอะไรลำบาก ช่วงนึงผมต้องไปรายงานตัวทุกเดือน ในแต่ละเดือนเจ้าหน้าที่จะมาเยี่ยมที่บ้านประมาณ 3-4 ครั้ง เพื่อมาถ่ายรูปบ้าง มาดูว่ายังอยู่นะ เขามีข้อห้ามเลยว่า ห้ามไปร่วมกิจกรรมทางการเมือง ถ้าไปแล้วไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องกลัว มีคนถ่ายรูปเราส่งไปที่ศูนย์แน่นอน ‘ฮั่นแน่ ไปไหนมา รูปคุณหรือเปล่า’ คนที่โดนติดตามจะอยู่ในสายตาพวกเขาตลอด เขาจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มเรา
.
“(การถูกติดตาม) มันส่งผลกระทบไปทุกอย่าง ทั้งหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว ผมอาศัยบ้านเจ้านายเก่าอยู่ แล้วบ้านเจ้านายมีญาติอยู่แถวนั้น การมีรถทหารไปจอดหน้าบ้านไม่ใช่เรื่องสนุก คนทั้งซอยมองเหมือนงานใหญ่ หลังๆ ก็ตามน้อยลงพอเราไม่ได้ไปทำกิจกรรม (ทางการเมือง) แล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าคุณไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรแล้ว ผมจะเอาชื่อออกให้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ตอนนี้ยอมรับเลยว่าไม่กล้าทำกิจกรรมใดๆ แม้จะคิดเหมือนกันว่าอยากไปนะ แต่ถ้าไปแล้วโดนกดดันอีกจะทำอย่างไร เพราะว่าการมาของเจ้าหน้าที่มันกดดัน แต่ละวันเอาแต่คิดว่า เขาจะมาอีกไหม จะตามอยู่ไหม ซึ่งมันไม่ดี
.
“มีคนเคยถามว่าทำไมผมต้องทุ่มเทขนาดนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ผมไม่เคยได้อะไรมีแต่เสีย อุปกรณ์ก็เงินตัวเองทั้งนั้น พอเงินเดือนออกเริ่มคิดล่ะ ว่าเดือนนี้อยากได้ชิ้นไหน กล้อง หรือ โน็ตบุ๊ก (หัวเราะ) ผมคิดแค่ว่าอยากเผยแพร่ข้อมูลตรงนี้ เรามีโอกาสไปหน้างาน อยากเก็บบรรยากาศต่างๆ มาให้คนอื่นได้ดูด้วย ให้เขาช่วยกระจายต่อ จะดาวน์โหลดลงแผ่น ไปแปะเว็บไซต์อื่นๆ เอาไปได้เลย ก้อปไปได้เลย อยากให้คนได้เห็นข้อมูลชุดนี้เยอะๆ
.
“ถ้าย้อนเวลาไปได้ผมคงทำเหมือนเดิม (ยิ้ม) แต่บางไฟล์ที่มีปัญหาอาจจะไม่อัปโหลดลง การถ่ายทอดสดลำบากตรงตัดไม่ได้ เพราะคอมสมัยก่อนการตัดต่อวีดีโอมันช้ามากก็ใช้วิธีการอัปโหลดหมดเลย บางทีอาจจะมีถ้อยคำรุนแรงสุ่มเสี่ยงติดไปที่สร้างปัญหาได้ในตอนหลัง ตัวผมเองก็ไม่มีเวลามานั่งฟังด้วย
.
“ทุกวันนี้เห็นเด็กๆ เขาสู้ในแบบที่เราคิดไว้เลยว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้ คนรุ่นก่อนและคนรุ่นผมอาจจะสู้ได้ในระดับนึง ถามว่าคิดกันอย่างไร เขาคิดเหมือนกันหมดแหละ รู้ว่าปัญหามันคืออะไร อะไรที่เราต้องสู้ จากรุ่นก่อนสู่รุ่นผม เนื้อหาการพูดมันอาจจะได้เพิ่มนิดหน่อย ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เกิดอะไรที่ชัดพอ สิ่งที่พวกเราทำกันมามันกลายเป็นการปูพื้นฐานไว้ให้กับคนรุ่นใหม่ น้องๆ เข้ามารับช่วงต่อ ผมดีใจมากที่เด็กสมัยนี้เขาคิดเป็นแล้ว”
.
#คืนความจริงให้กับคนเสื้อแดง
.
“หลายคนชอบคิดว่า คนเสื้อแดงถูกจ้างมา ทักษิณซื้อ ผมไม่เคยได้ค่าจ้าง หลายคนอาจจะได้ค่ารถบ้าง ทักษิณไม่เคยให้อะไรนะ เขาเพียงสร้างนโยบายที่จับต้องได้ ชาวบ้านต้องการอะไร โอกาสในการเริ่มต้นชีวิตอย่างนโยบายกองทุนหมู่บ้าน เมื่อเลือกตั้งชนะแล้วเขาก็ทำ เห็นนโยบายนี้แล้วผมรู้สึกเข้าท่าไม่ขายฝัน มันทำให้หลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้นจริงๆ ให้คนไม่มีจะกินได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงิน แม้ว่าจะมีบางคนชอบโจมตีว่ากู้เงินไปใช้สุรุ่ยสุร่าย ไม่จริงเลย คนไม่มีจะกินจะกู้จะใช้อะไรต้องคิดหนักกันทั้งนั้น คนเสื้อแดงไม่ได้สู้เพื่อทักษิณ แต่สู้เพื่อนโยบายที่ทักษิณเคยทำไว้ สู้เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาเคยได้ ทั้งนั้น”
.
---------
เพื่อไทยขอเชิญชวนทุกท่าน #คืนความจริง ให้คนเสื้อแดงพี่น้องของเรา
.
เมื่อความจริงของเรา (ถูกทำให้) ไม่เหมือนกัน จึงต้อง #คืนความจริง ให้กับพี่น้องคนเสื้อแดง ด้วยการส่งข้อมูล ข้อเขียน เรื่องราว ความทรงจำ ภาพถ่าย ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง โดยไม่จำกัดรูปแบบ ตั้งแต่ 10 เมษายน - 19 พฤษภาคม 2564 โดยสามารถส่งได้ผ่าน 2 ช่องทาง ดังนี้
.
1 Line Official: @redshirt.truth (พิมพ์ @ ด้วยนะคะ) หรือ https://lin.ee/iby1FcZ
2 Email : redshirt.truth@gmail.com
.
ข้อมูลที่ส่งมาทั้งหมด พรรคเพื่อไทยจะรวบรวม จัดระเบียบเพื่อให้ง่ายต่อการค้นคว้าศึกษาและนำเสนอในลำดับต่อไป (โปรดติดตามในเร็ว ๆ นี้)