Dvibhadr Bundrikswast
Yesterday at 5:40 AM ·
...ต่างกันราวฟ้ากับเหว ทั้งที่เป็นคนชาติเดียวกัน...?
.
จากงานวิจัยของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่า คนที่มี "ทรัพย์สิน" มากที่สุดในไทย 1% นั้น รายได้ส่วนใหญ่กว่า 40% ของคนกลุ่มดังกล่าว จะมาจากการประกอบธุรกิจ การลงทุนต่างๆ และหากใครก็ตามที่มีอำนาจในการ "ผูกขาด" ก็จะได้กำไรไปเยอะมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ การแก้จน แก้เศรษฐกิจ จึงไม่ใช่เรื่องของการ "(รัฐ)สวัสดิการ" หรือ "นโยบายภาษี" หรือ "นโยบายการคลัง" แต่เพียงอย่างเดียว แล้วมันจะไปขยับเขยื้อนอะไรได้... แต่มันยังเกี่ยวพันไปถึงเรื่องของนโยบายส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าต่างๆ ซึ่งก็สำคัญมาก
และถ้ามีการทำให้มี "การแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม" (หมายถึงมีการผูกขาดน้อย) คนเล็กคนน้อยก็จะมีโอกาสในการได้รับส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจได้มาก
ปัจจุบัน ค่าสัมประสิทธิ์ความเหลื่อมล้ำ (GINI Coefficient) ของไทยด้าน "รายได้" ปัจจุบันก็อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 0.45 แต่ความเหลื่อมล้ำในด้าน "ทรัพย์สิน" ของไทยนั้นจะไปถึงประมาณ 0.6 กว่าๆ ซึ่งสูงกว่ามาก
...พูดง่ายๆก็คือ ในด้านรายได้ ความแตกต่างระหว่าง 10%บน กับ 10%ล่าง ถ้าเทียบความแตกต่างในด้านรายได้ แตกต่างกันอยู่ที่ประมาณ 19 เท่า แต่ถ้าเทียบด้านทรัพย์สิน ข้างบนกับข้างล่างจะแตกต่างกันถึง 379 เท่า !!
และที่ข้อมูลที่สภาพัฒน์ใช้วิเคราะห์ ที่ผ่านๆมาเน้นไปที่ด้านรายได้และรายจ่ายเป็นสำคัญ ไม่ได้เน้นเรื่องทรัพย์สิน แม้จะมีอยู่บ้าง แต่ก็จะมีปัญหาว่าจะไม่สามารถเข้าไปสำรวจทรัพย์สินของ "มหาเศรษฐี" จริงๆได้
แต่ถึงกระนั้นภาพที่ได้จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ทำกันมา ก็ยังพอให้เราเห็นได้ว่าความเหลื่อมล้ำที่มีจากการถือครองทรัพย์สินนั้นก็มีมากกว่าความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ไปเยอะมาก
.
...จากทั้งหมดทั้งปวงที่กล่าวไป ดังนั้นถ้าใครบอกว่า ทิศทางการต่อสู้เรียกร้องของนักศึกษา ที่ติดคุกติดตะรางกันอยู่เวลานี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่อง "#ปากท้อง" ก็ต้องบอกว่า แม่ง...โคตรไม่จริง เพราะอันที่จริงแล้วมันโคตรเกี่ยว เกี่ยวตรงๆ เกี่ยวเต็มๆ
ก็ในเมื่อข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนั้น ดังนั้นปัญหาจริงๆก็คือ "ความไม่เข้าใจ" (ไม่อยากจะใช้คำว่า...ความโง่) ของคนที่พูดว่าไม่เกี่ยวกับปากท้อง...ไม่ใช่ปัญหาข้อเรียกร้องของ #ม๊อบ/#นิสิตนักศึกษา
