วันพุธ, เมษายน 21, 2564

รัฐมนตรี๋กร่างสั่งห้ามพระยุ่งการเมือง กล่าวหาพระสงฆ์เชื่องมงาย ไม่เข้าข่ายความเห็น ‘มหาเถร’


อีกคืบของระบบฟ้าสซิสต์ ไอทู้บรัฐมนตรี๋กร่างสั่งห้ามพระยุ่งการเมือง “ลั่นไม่ใช่กิจสงฆ์” เพราะกลัวพวกพระตั้งลัทธิใหม่ “ปฏิบัติผิดหลักคำสอน สร้างความแตกแยก และเป็นภัยต่อสังคม” ของเหล่าลิ่วล้อสืบทอดเผด็จการ

อย่างนี้ถ้าเอาอย่างในหนังฝรั่ง พวกพระต้องชูสามนิ้วเชิดหลักธรรม ๓ ประการแห่ง โอวาทปาติโมกข์คือไม่ทำชั่ว ทำแต่กรรมดี และมีจิตใจบริสุทธิ์ ซึ่งไม่แน่ใจ อนุชา นาคาสัย จำได้ หรือรู้จักแค่ไหน จึงได้กล่าวหาพระสงฆ์เชื่องมงาย ไม่เข้าข่ายความเห็น มหาเถร

เหตุจาก พระดาวดินนั่งอดอาหารประท้วงขอสิทธิประกันตัวนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่หน้าศาลอาญา แล้วมี พระสมพรไปเยี่ยมเยียนแล้วปักหลักร่วมตั้งแต่เช้าวันที่ ๒๐ เมษา จนกระทั่งเพล ก็มี “ตำรวจและเจ้าหน้าที่ศาล

พร้อมด้วยพระวินยาธิการเขตบางเขนเข้าไปตรวจสอบ” อ่านประกาศเจ้าอาวาสวัดชัยมงคล ต้นสำนักจังหวัดลพบุรี ว่าให้พระสมพรพ้นจากสังกัด จากนั้นนำตัวพระสมพรพร้อมด้วยสมณะดาวดินขึ้นรถตู้ไปไว้ที่วัดเสมียนนารี ทำการสอบสวนและยืนยันต่อพระสมพร

ว่าถูกไล่ออกจากวัดแล้วนะ จะกลับไปได้เฉพาะไปขนของส่วนตนออกเท่านั้น หลังเที่ยงสมณะดาวดินกลับไปนั่งอดอาหารต่อที่หน้าศาลอาญาเป้นวันที่ ๖ มีมวลชนปักหลักร่วม รวมทั้ง เอกชัย หงส์กังวาล ซึ่งคอยติดตามสังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด

นั่นเหตุเกิดเมื่อวาน ไม่รู้พรุ่งนี้จะมีรายการคุกคามใหม่อีกไหม แน่ๆ อีกรายพระสงฆ์สายก้าวหน้าอย่างระดับเจ้าคุณ พระประสาร เมธีธรรมาจารย์ โดนผู้ตรวจการ พศ. (สำนักพุทธศาสนาฯ) เล่นงานเหมือนกัน จากการที่ท่านโพสตืข้อความบนเฟชบุ๊ค

ต่อการที่รัฐบาลเชื่องช้าและซ้ำซาก ดั่ง แผ่นเสียงตกร่องในการแก้ปัญหาไวรัสวายร้าย โควิด-๑๙ระบาดอีกเป็นรอบที่สาม “วัคซีนชั้นดียังคงมืดมนสำหรับประชาชนในประเทศนี้” ทำให้บรรดา ทส.รับใช้รัฐบาลในสำนักพุทธฯ คันยิก


สิปป์บวร แก้วงาม บอกว่ามหาเถรฯ “พิจารณาแล้วเห็นว่า การแสดงความเห็นดังกล่าวของพระเมธีธรรมาจารย์ เกี่ยวข้องกับการเมืองและขัดคำสั่งมหาเถรสมาคม...จึงให้ พศ.ประสานงานกับพระสังฆาธิการ” เข้าไปเจรจาปรับทัศนคติ “ไม่ให้เกิดขึ้นอีก”

นั่นเป็นเรื่องสงฆ์ที่ โยม (ผู้กำอำนาจบ้านเมือง) เสือกได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องในแวดวงของ บริวารสายความมั่นคงเช่นตำรวจ นอกจากไม่ให้ใครเสือกแล้วยัง เสกให้การประพฤติผิดในหน้าที่การงานกลายเป็นแค่ความรู้เท่าไม่ถึงการ หรือเพียง สถานเบา

ดังกรณี พ.ต.ท.อรรคพล ยี่เกาะ สว.กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี พาภรรยาคนสวยนุ่งกระโปรงบานขึ้นเฮลิค็อปเตอร์ราชการ บินกินลมเพื่อเซลฟี่และถ่ายคลิปลง ติ๊กต็อกอวดชาวบ้านด้วยความสนุกสนาน พอเกิดกระแสวิจารณ์ว่าเฮ้ยผู้พันนี่เหลิงต้องตรวจสอบ

สำนักตำรวจแห่งชาติจึงได้เปิดตำรากฎหมายหาความผิด ชนิดเบาบางที่สุดละมัง แทนที่จะเจาะประเด็นใช้ยานบินของราชการเพื่อการบันเทิงส่วนตัว เอาอย่างโบอิ้งลำยักษ์บินไปกลับมูนิค-สุวรรณภูมิสองอาทิตย์หน ควรโดน ๑๑๒ ฐานเลียนแบบของสูง

กลับเจาะจงเอาผิดผู้พันแค่ เต้นแร้ป สไตล์ต่างชาติแพร่ภาพเคลื่อนไหวใน โซเชียลผิดระเบียบและฝ่าฝืนคำสั่ง ผบ.ตร.เรื่อง “๙ ข้อห้าม ๕ ข้อควรทำ” ออกมาบังคับใช้เมื่อต้นเดือนเมษานี้เอง งานนี้จเรตำรวจฯ ออกมาจัดการด้วยตนเอง

อ้าง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข “เคยย้ำชัดว่า การเป็นข้าราชการตำรวจนั้นนอกจาก สิทธิส่วนบุคคลแล้ว ยังมีคำว่า หน้าที่ความรับผิดชอบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” ต้องดูให้ดีเข้าข่าย ๙ กับ ๕ หรือไม่ นอกจากว่าผิดไหม ก็ต้องดูด้วยว่า สร้างสรร หรือเปล่า

ระหว่างรอผลของกรรมการที่ ผบ.ตั้งขึ้นมาสอบสวนภายใน ๗ วัน ก็ย้ายผู้ถูกสอบเข้ากรุ “ไปปฏิบัติราชการประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี โดยให้ขาดจากตำแหน่งและสังกัดเดิม” เป็นการชั่วคราวไปก่อน เรื่องเงียบแล้วอาจกลับมาใหม่

ต้องดูว่าผู้พันคนนี้เส้นใคร ใหญ่เล็กหรือแค่เส้นหมี่ ส่วนจะเป็นแค่เขลาเอง ไม่ได้กร่างหรือของขลังขึ้นนั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้มากนัก ไม่ต้องรอดูเดี๋ยวคงจบเงียบหายไปเอง ไม่ว่าจะใหญ่จริงหรือเพียงหางกระดิกตามหัวที่ส่าย

(https://www.matichon.co.th/local/crime/news_2681509, https://www.khaosod.co.th/politics/news_6351804, https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_419110 และ https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10165324265565551)