Rawee Siri-issaranant
18h ·
มวลชนคือ “กระแสความรู้สึก” ถ้าเพนกวินอดอาหารจนเสียชีวิต ความตายของเขาจะไม่ปลุกเร้าคนให้ลุกขึ้นมา แต่จะสร้างกระแสความรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง เพราะคนที่รู้สึกรู้สากับชีวิตของเพนกวินก็คือคนกลุ่มเดียวกับที่ออกมาเป็นมวลชนที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ “รู้อยู่แล้ว” ว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นยังไง “รู้อยู่แล้ว” ว่าผลลัพธ์ของการอดอาหารจะเป็นยังไง ความตายของเพนกวินจะไม่ทำให้พวกเขาหึกเหิมอยากต่อสู้ แต่จะสร้างความรู้สึกแย่ กับภาวะที่ตัวเองไม่สามารถจะทำอะไรได้ มันจะนำไปสู่ความหดหู่ สิ้นหวัง ท้อแท้กับภาวะที่เป็นอยู่ ความตายของเพนกวินอาจสะกิดคนกลางๆ ที่อยู่ห่างไป คนที่ยังสะลึมสะลือได้บ้าง แต่ทุกวันนี้คนแบบนี้เหลือน้อยแล้ว คนที่คิดอีกแบบ อยู่อีกฝ่ายไปเลยจะไม่สนใจและไม่รู้สึกอะไรเลย ความตายของเพนกวินอาจเป็นข่าว แต่จะห่างไกลจากการสร้างแรงกดดันจากต่างประเทศ ผลเฉพาะหน้าอาจจะมีบ้างแต่ทำอะไรรัฐบาลไทยไม่ได้ กรณีพม่าคนตายเป็นเบือแรงกดดันจากตะวันตกยังไม่สามารถเปลี่ยนใจทหารพม่าเลย กรณีแบบนี้เป็นเรื่องยืดเยื้อยาวนาน มันจะกัดกร่อนสถาบันกษัตริย์ไทยอย่างแน่นอน แต่เป็นผลในระยะยาว และที่สำคัญ สถานการณ์ที่แตกต่างจากตอนอากงก็คือ ผลสะเทือนจากกรณีอากงเกิดขึ้นก็เพราะตอนนั้นสถาบันกษัตริย์เป็นที่นิยมของคน แต่กับปัจจุบันมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ไม่เป็นที่นิยมอยู่แล้วก็จะไม่มีผลสะเทือนมากนักกับการไม่เป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น ปี 2549 ความตายของนวมทอง ไพรวัลย์ ไม่ได้ปลุกให้เกิดมวลชนบนท้องถนนและไม่สร้างแรงกดดันอะไรให้กับ คมช. เลย แต่ในระยะหลายปีต่อมากรณีนี้ปลุกจิตสำนึกคนได้จำนวนหนึ่ง คนที่ถูกปลุกคือคนที่ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่งมาก แต่อย่างที่กล่าวไปแล้ว ทุกวันนี้คนที่อยู่ตรงกลางๆ มีน้อยลงทุกที
ด้วยความเป็นคนหนุ่มสาว เพนกวินและรุ้งอาจจะมองโลกในแง่ดี และประเมินผลกระทบจากการกระทำของตนเองสูงเกินไป ตัวอย่างที่ผ่านมาของการประเมินที่ไม่ถูกต้อง เช่น ประเมินว่าการพูดในวันที่ 10 สิงหาคม ทำให้ “เพดานพังลงมาแล้ว” ไม่มีเพดานอีกแล้ว ซึ่งไม่จริง การพูดเพียงครั้งสองครั้งไม่ได้ทำให้เพดานของการพูดในเรื่องสถาบันกษัตริย์หายไปในพริบตา มันแค่เปลี่ยนบรรยากาศ แล้วก็กลายเป็นกระแสชั่วคราว ทุกวันนี้นักวิชาการที่ไม่กล้าพูดเรื่องสถาบันก็ยังไม่กล้าเหมือนเดิม สื่อที่ไม่กล้านำเสนอก็ไม่กล้าเหมือนเดิม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลา และเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความต่อเนื่องและต้องการการส่งเสริมจากอำนาจรัฐด้วย ถ้าอำนาจรัฐยังกดเพดานก็ยังอยู่ การต่อสู้แต่ละครั้งขยับเพดานได้ แต่ไม่ใช่พังเพดานให้หายไป การประเมินว่าการอดอาหารของตนเองจะสร้างผลกระทบในแง่บวกให้กับขบวนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยเป็นการมองในแง่ดีจนเกินไป การจะเปิดโปงให้โลกรับรู้ถึงความไม่ปรกติของขบวนการยุติธรรมไทย อันที่จริงก็เกิดขึ้นมานานแล้ว โลกรับรู้หลายกรณีมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ผลกระทบที่จะสร้างแรงกดดันต่อศาลไทยก็ยังไม่เกิดขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่การกระทำที่จะเกิดแบบพลิกฝ่ามือได้ แต่ผลต่อขบวนประชาธิปไตยที่มองเห็นเค้าลางแล้วตั้งแต่ตอนนี้คือมันเป็นการกดดันมวลชน ซึ่งจริงๆไม่ใช่ "มวลชน" แต่เป็นปัจเจกจำนวนมากที่กระจายกันอยู่ ผมมองตรงกันข้ามกับที่พูดกันว่าคนที่อยากให้เลิกอดอาหารกำลังกดดันเพนกวินนะ การอดอาหารต่างหากที่กำลังกดดันคนที่อยู่ข้างนอกให้ทำอะไรสักอย่าง ในภาวะที่โควิดระบาดระลอกสามแบบนี้มวลชนจะทำอะไรได้สักกี่มากน้อย และสิ่งที่เรียกว่ามวลชนมันคือ “กระแสความรู้สึก” ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความรู้สึกทำอะไรไม่ได้มันจะกัดกร่อนผู้คน และสุดท้ายแล้วมันจะทำให้คนรู้สึกดาวน์ และมวลชนจะฝ่อ
ที่พูดมาไม่ได้มองเพนกวินกับรุ้งเป็นแกนนำอะไรเลย แต่เห็นว่าพวกเขาคือคนหนุ่มสาวที่มีไฟ มีพลัง แต่ก็เป็นคนธรรมดาที่มีทั้งความกล้าและความกลัว มีเข้มแข็ง มีอ่อนแอ และที่สำคัญมีการตัดสินใจที่ผิดได้ จากการประเมินที่ไม่ถูกต้อง ผมไม่เห็นด้วยกับการโยนภาระในการนำการต่อสู้ไปให้พวกเขา ถ้ามันหนักเกินไปก็ไม่ต้องแบก ชีวิตยังมีด้านอื่นๆ อีกมาก ถ้าคิดถึงการต่อสู้หนทางมันยังอีกยาวนาน และการที่เพนกวินและรุ้งมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นสิ่งที่ดีต่อการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมากกว่าเอาชีวิตเข้าแลกในตอนนี้