นายกฯไม่ให้สัมภาษณ์สื่อบอก“ไม่มีประโยชน์”
Oct 28, 2015
.....
Phanidchanok Nidnok Damnoentam
April 16 at 9:08 PM ·
เมื่อสัปดาห์ก่อน ดูรายการคุณจอมขวัญในช่อง The Matter แล้วติดใจที่คุณเอม-นภพัฒน์จักษ์ พูดอันนึง ประมาณว่า ต้องไม่ลืมว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่นายกไม่ได้ออกให้สัมภาษณ์แบบนั่งพูดคุยกับสื่อใดๆ มาเจ็ดปีแล้ว มันนานมากจนกำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติ แต่มันปกติไม่ได้
ซึ่งไอ้การไม่ได้ให้สัมภาษณ์นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสันโดษเป็นนิสัย หรือที่จริงคือ ไม่มี "อะไร" ให้แสดงความคิดความอ่าน
.
.
จำได้ว่าตอนเราเด็กๆ อาจจะเพราะบริบทโลกในตอนนั้นด้วย ที่สื่อมันมีจำกัด อินเทอร์เน็ตยังไม่เข้าถึงทุกคน ดังนั้นคนที่จะเป็น "อินฟลูเอ็นเซอร์" ให้กับชีวิตเราได้ ก็ต้องเป็นคนที่แมสประมาณนึงล่ะ คือถ้าไม่ใช่พวกศิลปินดารา นักเขียนที่หนังสือเขาฮิตๆ ก็จะเป็นพวกนักการเมือง หรือคนที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ เช่นนายกฯ ที่พอจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การที่เขาเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนั้นๆ น่ะ มันไม่ธรรมดานะเว้ย
ถึงแม้สมัยนี้โลกมันจะเปิดมากขึ้น มีคนมากมายที่เด็กๆ ชื่นชอบและยึดถือเป็นไอดอล แต่เรารู้สึกว่า ยังไงเสีย เด็กๆ ก็จะยังเฝ้ามอง "ผู้นำประเทศ" ของพวกเขาอยู่เสมอ เพราะมันเป็นตำแหน่งสำคัญน่ะ เป็นคนที่กำลังสร้างอนาคตบ้านเมืองที่เด็กๆ เขาจะเติบโตและใช้ชีวิตต่อไป จะชอบหรือไม่ชอบ ยังไงภาพของนายก ก็จะเข้ามาให้พวกเขาเห็นทุกวัน
แล้วเด็กของเรากำลังมองเห็นผู้นำแบบไหน...
.
.
ยิ่งพอโลกมันเปิดมาก เด็กๆ เห็นคนที่เก่งมากมาย ไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศนี้ด้วยซ้ำ และยังไม่ต้องไปไกลถึงตรงนั้น เอาแค่ในชั้นเรียน ด้วยแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ เด็กหลายคนได้ทำโปรเจคต์ ตั้งโจทย์ ฝึกคิดแก้ปัญหา ทำงานเป็นทีม และนำเสนองาน ทำกันเข้มข้นมาก เด็กบางคนพรีเซนท์โปรเจคต์กันตั้งแต่อนุบาล เด็กๆ ฝึกฝนจนแทบจะมี Critical Thinking จนเป็นนิสัย เมื่อเจอประเด็นอะไร พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะคิด หาข้อมูล ถกเถียง และนำเสนอความคิดของตนอย่างเป็นระบบ
ดังนั้นภาพของนายกที่ออกมาพูดครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่รู้เรื่อง ไม่เป็นระบบ ไม่มีโครงเรื่อง ไม่มีสาระ ไร้ซึ่งวิสัยทัศน์ ไม่สิ ไร้ซึ่งความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ตนเองกำลังพูดหรือทำ จึงเป็นเรื่องไร้สาระ เสียเวลา และชวนขบขันมาก เมื่อเทียบกับระบบคิดของเด็กมัธยม หรืออาจจะประถมด้วยซ้ำ
.
.
ประยุทธ์อาจจะโชคร้ายไปหน่อย เพราะถ้าเขาเข้ามาเป็นนายกในตอนที่เรายังเป็นเด็กประถม เราอาจจะไม่คิดสมเพชเขามากเท่าไหร่ ด้วยโลกในสายตาเรามันก็กว้างเท่าประเทศไทยแค่นั้น แถมยังมีชุดความคิดทำนอง "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" หลุดๆ ลอยๆ มาสมัยนั้นอยู่เลย
แต่พอเป็นยุคนี้ ที่เรามองเห็นคนเก่ง เก่งจริงๆ เต็มไปหมด มันจึงไม่แปลกอะไร ที่เราจะอดเปรียบเทียบนายกผู้หลงยุคคนนี้ กับคนเก่งเหล่านั้น หรือไม่ ก็แค่เทียบกับตัวเองนี่ก็ได้ ในเนื้องานของนายก มันต้องมีบ้างแหละที่มาแตะโดนความถนัด ความสนใจของเรา และเราจะพบเสมอว่า ทำไมวะ ทำไมคนที่กำลัง "นำ" ประเทศ ถึงทำได้แค่นี้ ถึงเป็นแบบนี้ จะแย่กว่าผู้นำคนอื่นในโลกไม่ว่า แต่ถ้าแย่กว่ากูนี่คือหนักแล้ว
.
และส่วนใหญ่เราทุกคนจะพบเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ง่ายที่สุด เด็กสามขวบยังพูดคำว่ารัฐบาล เป็น รัด-ถะ-บาน มิใช่ ร้า-บาน
.
.
เคยอ่าน หนังสือ Of Thee I Sing: A Letter to My Daughters เป็นนิทานภาพสำหรับเด็ก เขียนโดยบารัค โอบาม่า ส่งแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไปกันถึงขนาดนี้ หรือไม่ต้องไปไกล จำได้ว่าซักสิบปีก่อนได้ มีหนังสือที่ทอม เพลต นักข่าวสหรัฐ สัมภาษณ์ผู้นำสำคัญในอาเซียน มีลีกวนยิว มหาธีร์ มูฮัมหมัด และทักษิณ ก็คุยกันแบบมนุษย์แหละ ขาวดำเทานะเมื่ออ่าน แต่สำคัญที่ว่าเขาเลือกเราน่ะ เขามองเห็นเรา นี่ยังเก็บเล่มนั้นไว้อยู่เลย
หรือเอาแบบจับต้องได้ที่สุด ตอนเราอยู่ประถม นายกทักษิณ แนะนำหนังสือ Harry Potter เชียร์ให้เด็กๆ อ่านวรรณกรรมเยาวชน จนกลายเป็นกระแสการอ่าน เพราะหนังสือมันสนุก อย่างน้อยก็สนุกกว่าหนังสืออ่านนอกเวลาในชั้นเรียนหลายเท่า กลับไปอ่านคำนิยมที่แกเขียน ไม่สอนอะไรเลย ไม่พยายามเค้นข้อคิด บอกแค่ว่า อ่านเถอะ ให้เด็กๆ สนุกกับจินตนาการ การผจญภัย ได้เปิดมุมมองใหม่ และได้รักการอ่าน แถมยังไปแตะคำใหญ่ๆ อย่าง Knowledge is power และ Lifelong learner
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ล่าสุดเขาคนนั้นแนะนำหนังสือ "ความรู้เรื่องเมืองไทย" .....
.
.
เราคิดว่าแม้จะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง คือการบริหารประเทศ แต่มันเป็นบทบาทที่คนที่อยุ่ตรงนั้น จำเป็นจริงๆ ที่จะต้อง "บันดาลใจ" ให้คนอื่น เพราะตำแหน่งตรงนั้นสำคัญ เป็นตัวแทน เป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะกับเด็กในวัยที่เขายังไม่ได้รู้จักกับนักธุรกิจเก่งๆ นักเขียนดีๆ ผู้นำของโลกในตำนาน ฯลฯ ใกล้ตัวที่สุด เขาจะมองไปที่ผู้นำของเขาก่อนว่าเป็นอย่างไร มองแบบยังไม่ต้องลงลึกไปถึงความคิดความอ่านเลยด้วยซ้ำ เอาแค่ภายนอกเลย การเดินเหิน ยืน เดิน นั่ง พูดจาแต่ละครั้ง มันผ่านหูผ่านตาเด็กๆ เขา
นอกจากจะบันดาลใจไม่ได้ ยังกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เป็น case study ให้เราต้องคอยสอนว่าอย่าทำตาม
แปลกมั้ยล่ะ กับแค่มารยาทพื้นฐาน ทักษะการสื่อสารง่ายๆ เรายังให้เด็กๆ มองจากผู้นำเป็นตัวอย่างไม่ได้เลย ดังนั้นไม่ต้องไปไกลถึงวิสัยทัศน์เลย เพราะมันไม่มีทางไปถึง
.
.
กลับมาที่คุณเอมพูดวันนั้น เราลืมไปแล้วว่าประเทศเราเคยมีนายกรัฐมนตรีที่ให้นักข่าวสัมภาษณ์ได้ เราอยู่กับผู้นำและอำนาจเผด็จการมายาวนานเจ็ดปี จนทำให้สิ่งที่เคยทำได้ปกติกลายเป็นความผิดเพี้ยน และเราเคยชินไปแล้ว กับผู้นำที่ไม่สามารถนั่งสัมภาษณ์เพื่อแสดงความคิดเห็น ผู้นำที่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ผู้นำที่บ่อยครั้งเหมือนจะลืมมารยาทพื้นฐานในการเข้าสังคมไปดื้อๆ
เรามองเห็นคนเก่งรอบตัวมากมาย แต่รู้ว่าตำแหน่งสูงสุดนั้นจะไม่ได้เป็นที่ของพวกเขา ด้วยระบบสนับสนุนใดๆ ก็ตามที่แข็งแกร่ง ดังนั้น เราก็จะได้เท่านี้แหละ ได้คนที่เรามองเขาอยู่ทุกวันอย่างเวทนาปนคับแค้น สิ่งนี้เป็นเหมือนเศษผมเศษขยะที่ขวางท่อ ชวนหงุดหงิด เพราะน้ำจะไหลก็ไหลไม่แรง น้ำจะระบายก็ระบายไม่ลง และเราก็อยู่กับมันทุกวันจนชิน น้ำไหลแรงแค่นี้ก็ได้วะ อย่างน้อยก็มีน้ำใช้
ซึ่งมันไม่ได้ เรามีสิทธิ์ที่จะหวังได้ไกลกว่า ได้สิ่งที่ดีกว่า จะทำให้ความคิดแบบนี้กลายเป็นเรื่องปกติไม่ได้
.
.
เราคงปล่อยให้ลูกได้มองเห็นผู้คนบนโลกนี้ให้กว้างที่สุด เพราะโลกมันไม่มีพรมแดนอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขามีสิทธิ์ที่จะถูก "บันดาลใจ" จากคนที่น่าเคารพยกย่องมากมายบนโลกนี้ ที่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาที่มีความมุ่งมั่น พยายาม และมีฝีมือ รู้จักคนเหล่านี้ให้มาก และฝึกฝนตนเองให้เยอะ ฝึกคิดแก้ปัญหาบ่อยๆ เพื่อสร้างระบบคิดที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต ฝึกที่จะสื่อสารความคิดออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจ ภาษาไม่ใช่กำแพงที่ใหญ่โตนัก หากความคิดและตัวตนของเราคมชัด อย่างไรคนอื่นก็จะพยายามเข้าใจเราอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องสร้างและรักษามันไว้
.
.
ทำแค่นี้แหละ ทำโดยไม่ต้องไปยกเอานายกมาเป็นตัวอย่าง เพราะเมื่อคนได้มองเห็นโลกที่กว้าง เขาก็จะรู้เองทันทีว่าสิ่งที่มีนั้นมันแย่ กองไว้ตรงนั้น ที่สำคัญคืออย่าละทิ้งความหวัง เด็กๆ ยังต้องหวังได้ เขาจะต้องมีอนาคตที่ดีกว่านี้ได้ เปิดและปล่อยลูกไปให้กว้างที่สุด ส่วนคนรุ่นเรา ก็ต้องสู้จนถึงที่สุด
เพื่อเราจะไม่ปล่อยให้มีผู้นำแบบนี้ขึ้นมาอีก