วันศุกร์, เมษายน 23, 2564
ฟังความเห็นของเธอ เรื่อง #ยุติการตั้งครรภ์
Klaviggarn Vimwipa
Yesterday at 7:40 AM ·
ปกติภาพนี้จะเป็นโพสต์ประกาศแสดงความยินดีกับตัวเองและครอบครัว ที่กำลังจะมีสมาชิกเพิ่มอีกคนในอนาคต แต่กับเรามันไม่ใช่ นี่ไม่ใช่โพสต์ที่ประกาศด้วยความยินดี ดีใจ แต่ก็ไม่ใช่โพสต์ที่โพสต์ออกมาด้วยความเศร้าโศก เสียใจ หรือเจ็บปวดเช่นกัน
ใช่ค่ะ เราเคยตั้งครรภ์ และเราขอเป็นอีกหนึ่งเสียง ที่ออกมาพูดว่าเราไม่จำเป็นต้องอาย หรือรู้สึกเจ็บปวดอะไร ที่จะตั้งครรภ์และเลือกที่จะ #ยุติการตั้งครรภ์ เรายังคงภูมิใจกับเส้นทางที่เลือกเดิน และเคารพการตัดสินใจของผู้หญิงทุกคน ในฐานะผู้เป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง และมีสิทธิ์เต็มที่ในเนื้อตัวร่างกายตัวเอง และคุณไม่จำเป็นต้องผิดหวัง เจ็บปวด รู้สึกผิด อับอาย คุณสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า
"ฉันเคยผ่านการยุติการตั้งครรภ์ และนั่นไม่ได้ลดทอนศักดิศรีความเป็นมนุษย์ หรือความเป็นผู้หญิงแต่อย่างใด"
คนเราแบกรับภาระ ความกดดัน สถานภาพทางครอบครัวและสังคมต่างๆกันไป ดังนั้นไม่ควรมีศีลธรรมชุดใด ศาสนาใด หรือคนกลุ่มไหน มาตัดสินเราด้วยบรรทัดฐานของเขา เราต้องเป็นคนเลี้ยง ต้องแบกรับภาระทั้งทางการเงิน ทางกาย และอารมณ์ต่อไปอีกทั้งชีวิต การยุติการตั้งครรภ์ ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการเห็นแก่ทุกๆชีวิตที่เกี่ยวข้อง ทั้งคนที่ตั้งครรภ์ แฟน คู่ชีวิต หรือคู่นอน ครอบครัวของทั้งสองฝ่าย และที่สำคัญ "การท้องไม่พร้อมและเลี้ยงแบบขอไปที" เป็นราคาที่สังคมต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นปัญหาตั้งแต่ตัวบุคคลไปยังสังคม นอกจากนี้ท้องไม่พร้อมไม่ใช่แค่เรื่องวัยรุ่นใจแตก ปัญหานี้มันซับซ้อนกว่านั้น มันไปเกี่ยวกับโครงสร้างทางอำนาจของสังคมและเศรษฐกิจ อำนาจของประชาชน เราไปสถานพยาบาลที่รับทำเรื่องนี้มาทุกที่ในกรุงเทพ ที่นั่นไม่ได้มีแค่วัยรุ่น มีผู้ใหญ่ วัย30+ 40+ ยันแก่มากๆยัน60+ เพราะฉะนั้นปัญหามัน scale ใหญ่กว่านั้น
Unpopular opinion: การยุติการตั้งครรภ์ของเรา เราขอแสดงความคิดเห็นว่า มันไม่ได้อาศัยแค่ความไม่พร้อมทางการเงินและการเลี้ยงดูอย่างเดียว ต่อให้เรามีความพร้อมทั้งการเงินและการเลี้ยงดู แต่ "การเป็นแม่คน" หรือการเป็น "ภรรยา" ของใครสักคน ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เราไม่จำเป็นต้องเป็นเมียและเป็นแม่ ไม่จำเป็นต้องแต่งงานมีครอบครัว ไม่จำเป็นต้องไต่บันไดตามบรรทัดฐานสังคม และเราไม่ควรถูกกดดันว่า เมื่อพร้อมแล้วต้องแต่งงาน เมื่อท้องแล้วต้องแต่งงาน เมื่ออายุเหมาะสมแล้วจึงจะเป็นแม่คน ไม่ว่าอายุเท่าไร ความพร้อมแบบไหน ถ้าคุณไม่อยากเป็นแม่คนหรือใช้ชีวิตแต่งงาน คุณก็สามารถยืดอกได้เลยว่าคุณไม่เกิดมาเพื่อจะเป็นแม่ใครหรือสามีใคร และเมื่อการตั้งครรภ์นี้เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เราก็มีสิทธิ์เต็มที่ในการยุติ
เราเคยอยู่ใน abusive relationship ความสัมพันธ์ที่ถูกทำร้ายรุนแรงมากๆทั้งทางกายและอารมณ์ จนเกิดเป็นโรคซึมเศร้า แต่เมื่อตั้งครรภ์ ทางครอบครัวฝ่ายชายยินดีจะรับผิดชอบ ให้แต่งงานใช้ชีวิตคู่ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อมีลูก ผู้ชายจะทรีทกับเราดีขึ้นในฐานะแม่ของลูก
แต่คำถามคือ เราควรจะถูกทรีทด้วยความเคารพ การให้เกียรติ และการกระทำที่ดีในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่แม่และเมีย ถึงจะได้รับการยอมรับหรือเคารพ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเพศไหน สมควรได้รับการปฎิบัติด้วยความเคารพและเท่าเทียม
ดังนั้นเราจึงตัดสินใจ ที่จะสูญเสียสองอย่างพร้อมๆกับคือความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่กับผู้ชายคนนั้นและครอบครัวของเขา รวมถึงสิ่งที่อยู่ในท้อง เพื่อให้เราได้ชีวิต ได้ตัวตนตัวเองกลับมา ได้ self-esteem และได้รักและเคารพตัวเองในแบบที่เราทำได้ ได้รับการปฎิบัติที่ดีในฐานะมนุษย์คนหนึ่งและผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แค่อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง ได้อิสระกลับมา ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และได้เยียวยาตัวเองแบบที่ควรจะเป็น
"ท้องไม่พร้อม" "ไม่ใช่แค่ผู้ชายไม่รับผิดชอบ"
"ไม่ใช่แค่ไม่มีเงินเลี้ยงดู" "ไม่ใช่แค่เรียนไม่จบ"
"ไม่ใช่แค่โดนข่มขืนล่วงละเมิดทางเพศ"
ถ้าจิตใจคุณไม่พร้อมเป็นแม่คน อย่าฝืน นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบหรือข้อบังคับของผู้หญิงคนไหน การมีลูกควรเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มชีวิตที่ทำให้มีทั้งสุขและทุกข์ต่างๆกันไป แต่ถ้าเราไม่อยากมี คำตอบก็คือ ยุติการตั้งครรภ์ซะ แม้ว่าจะมีคนรับฺผิดชอบคุณก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เพราะชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน การเป็นแม่ไม่ใช่บ่วงห้อยคอสำหรับผู้หญิงทุกคน และการประสบความสำเร็จในชีวิตไม่จำเป็นต้องเป็นการแต่งงาน มีสามี มีลูก
เราได้รับคำพูดชี้ขาดว่า
"ถ้าเอาออก ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเจอกันอีก เลือกเอา ว่าจะเสียเขาและครอบครัวไปไหม?"
เราได้แต่คิดว่า "เราจะเสียใครไปก็ได้ แต่เราจะไม่สูญเสียตัวตนของตัวเองเด็ดขาด และเมื่อใครไม่เคารพการตัดสินใจบนเนื้อตัวร่างกายของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ใดๆไว้ไม่ว่าใครก็ตาม เพราะเราย่อมรู้จักตัวเองดีกว่าใคร"
เราตัดสินใจตัดการติดต่อทุกช่องทางด้วยตัวเองนับแต่นั้นมา และหาข้อมูลยุติการตั้งครรภ์ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ในเวลาหลายปีก่อน ต้องยอมรับว่ามันเป็นเส้นทางที่ทรหดมากๆกับการแบกตัวเองไปตามทุกช่องทางเท่าที่จะหาได้ เหตุเกิดจาก
#การทำแท้งไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย
(กฎหมายควรจะเขียนจากวิทยาศาสตร์มากกว่าหยิบศีลธรรมชุดใดชุดหนึ่งมาถือเป็นกฎหมาย เราเป็นรัฐฆราวาสค่ะ ไม่ใช่รัฐพุทธ)
Update2020:
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 กำหนดให้หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกมีความผิดอาญานั้น เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของหญิงเกินจำเป็น ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 28 บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
สำหรับมาตรา 305 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเหตุยกเว้นความผิดฐานทำให้แท้งลูก ให้ครอบคลุมกรณีที่จำเป็นและสมควรต้องทำแท้งหรือยุติการตั้งครรภ์ให้กับหญิง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
“มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 301 หรือ มาตรา 302 เป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาในกรณีดังต่อไปนี้ ผู้กระทำไม่มีความผิด (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกาย หรือจิตใจของหญิงนั้น (2) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากทารกคลอดออกมาจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะได้รับผลกระทบจากความผิดปกติทางกายหรือจิตใจถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง (3) หญิงมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ (4) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์”
(ซึ่งข้อยกเว้นพวกนี้ ก็ไป delay ทำให้กระบวนการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ช้าไปอีก)
#เราขอเป็น1เสียงให้ยกเลิกมาตรา301 เพราะการยุติการตั้งครรภ์ไม่ใช่อาชญากรรม
**แต่กฎหมายก็ยังมีปัญหาที่ตั้งความผิดไว้ก่อน แล้วค่อยมายกเว้นความผิดทีหลัง ทั้งๆที่ทั้งหมอและผู้เข้ารับบริการ ไม่ควรจะมีความผิดตั้งแต่แรก และไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อยกเว้น เราต้องนึกถึงผญ.ที่ไม่ได้อยู่ในข้อยกเว้นเหล่านั้นด้วย
**นอกจากนี้ อายุครรภ์12สัปดาห์มันน้อยเกินไป บางคนประจำเดือนขาดเป็นประจำ ไม่รู้ตัว หรือบางคนคุมกำเนิดวิธีการต่างกันไปทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ผญ.หลายคนมารู้ว่าตัวเองท้องอายุครรภ์ก็เกินแล้ว (เพื่อความsafeของผม.ทุกคนนะคะ ใครประจำเดือนมาปกติ แค่ขาดวันแรกก็เริ่มตรวจได้เลยค่ะ และทยอยตรวจเรื่อยๆ)
ป.ล. ตอนนี้มีฝังยาคุมฟรีแล้วนะคะ ใช้สิทธิ์ในโรงพยาบาลที่คุณขึ้นสิทธิ์ได้เลย
**กฎหมายก็ถูกเขียนโดยผู้ชาย คณะกรรมการกฤษฎีกาก็เป็นผู้ชาย สอบถามความเห็นในกลุ่มคณะกฎหมายก็มีแต่ผู้ชาย
(คุณอย่าลืมฮอร์โมนต่างๆที่ทำให้ ผญ.สับสน คุณจะบีบให้เค้ารู้ตัวว่าท้องปุ๊บ ตัดสินใจได้ปั๊บเลยว่าต้องยุติ มันไม่ง่ายขนาดนั้นถ้าคุณไม่ใช่เขา มันต้องผ่านกระบวนการคิด การตัดสินใจ คุยกับครอบครัว คุยกับฝ่ายชาย ผ่านการลังเล ผ่านความกลัว กว่าเขาจะตัดสินใจได้ หรือหาสถานบริการที่เขาเข้าถึงได้ อายุครรภ์อาจจะเกินไปแล้ว ยังไม่นับคนด้อยโอกาส homeless แรงงานเถื่อนอีก เขาก็คือมนุษย์เช่นกัน)
กฎหมายและศีลธรรมบีบให้ผู้หญิงทุกคนต้องลำบาก ต้องเสี่ยง
- ขั้นตอนซับซ้อน รอเวลานาน ต้องยื่นเรื่อบ รอหมอนัดอีกเป็นอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ พอนัดแล้วไม่รับทำ
- หลายโรงพยาบาลไม่รับทำตั้งแต่แรก(ยังยืนยันว่าหากโรงพยาบาลใดสามารถทำคลอดเด็กได้ก็สามารถมีfacilityในการยุติการตั้งครรภ์ด้วยเช่นกัน)
- ยิ่งรอขั้นตอน ยิ่งเวลาผ่านไปนาน อายุครรภ์ยิ่งมากขึ้น คลินิกต่างๆไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ เราเองก็ไม่อยากเสี่ยงตัวเอง
-ตัวผู้หญิงไม่มีสิทธ์ตัดสินใจในการยุติการตั้งครรภ์100% ทั้งๆที่เป็นร่างกายตัวเอง ต้องได้รับการคอนเฟิร์มจากหมอมากกว่า1คน (2คนเป็นอย่างต่ำ+มีการนำเคสไปร่วมพิจารณากับหมอคนอื่นๆ)
- ในกรณีของเรา ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ทานยามาไม่ต่ำกว่า5ปี ยังต้องขอหมอจิตเวชเขียนใบรับรอง (จะเห็นว่าอำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือหมอมากกว่าความต้องการผู้หญิงเอง)
- เรารอโรงพยาบาลใหญ่ๆไม่ได้ บางที่ไม่รับทำ บางที่รับแต่รอพิจารณาอย่างน้อย1สัปดาห์(ซึ่งหมอแจ้งว่าไม่รับประกันผลว่าจะสามารถได้รับการยุติได้) ซึ่งผ่านไป1-2วีคตัวอ่อนก็โตขึ้นมาก เรารอไม่ได้
- เราจะลองสั่งยามาทานเอง แต่กลัวความเสี่ยงตกเลือด และเนื่องจากอยู่คนเดียว ไป รพ. คนเดียว ทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียว หากสอดยาอยู่ห้องคนเดียวเรากลัวความเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
- เราตัดสินใจไปที่ "คลินิควางแผนครอบครัว" ซึ่งอยากบอกทุกคนว่า ยิ่งรีบเท่าไรยิ่งดี ถ้าอายุครรภ์ต่ำกว่า12สัปดาห์ เราจะได้ยุติผ่านใช้การหลอดดูด ซึ่งมีผลเสียต่อมดลูกต่ำ ไม่ต้องขูดมดลูก
- การใช้หลอดดูดของคลินิกวางแผนครอบครัวส่งผลต่อแต่ละคนไม่เหมือนกัน(ย้ำว่าไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะปวดน้อยกว่าเราหรือไม่ปวดเลย) ของเราหมอที่ปฎิบัติการใช้แรงความดันสูงเกินไปหรืออาจด้วยเหตุผลทางกายภาพอื่นๆซึ่งเราไม่ทราบ ทำให้เราปวดมาก ปวดจนอาเจียนออกมาระหว่างขั้นตอนการดูด สุดท้ายเราทนไม่ไหว จนต้องหยุด เนื่องจากคลินิกไม่มีการให้ยาชาหรือยาสลบใดๆ (มี mindset ของศีลธรรมที่อยากให้เราจำและเข็ดด้วย) เราแจ้งหมอว่าขอยาช่วยได้ไหม เพราะทนปวดไม่ไหวจนอาเจียนออกมา เจ้าหน้าที่แจ้งเราว่าคลินิกวางแผนครอบครัวไม่มียาช่วยทุกที่ ถ้าอยากได้ยาสลบให้ไปโรงพยาบาลแทน
- สุดท้ายเราได้ข้อมูลว่าต้องไป รพ.ไหน และได้เดินทางไปที่นั่น และขอรับบริการ (ซึ่งกว่าจะได้รับบริการและรับการอนุมัติมันมี process หลายขั้นตอนมากๆ ก็วนกลับไปที่ "อำนาจตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ตัวผู้หญิงเอง(อีกแล้ว)"
- ทั้งการไปโรงพยาบาลและคลินิก มีการเทศนาสั่งสอน คอยบ่นว่าทำไมไม่ป้องกัน (มันเลยจุดที่จะต้องมาถามแล้วว่าทำไมไม่ป้องกัน ไม่ใช่ว่าเราไม่สนับสนุนการป้องกัน แต่การสั่งสอนและถามแบบนี้มีประโยชน์อะไรในช่วงที่ผู้หญิงกำลังเจอวิกฤตเวลานั้น?)
ป.ล.เราป้องกันนะคะ ฉีดยาคุม แต่ก็ยังตั้งครรภ์ (เผื่อมีคนด่าว่าทำไมไม่ป้องกัน ไม่มีการตั้งครรภ์วิธีไหนได้ผล100%)
- โอเค เรายอมรับว่าการยุติการตั้งครรภ์ไม่ได้มีบรรยากาศน่ากลัว มืดมัว เลือดอาบ บ้าบอคอแตกอะไรแบบในสื่อไทย ไม่ได้ทรมานมากขนาดนั้น ไม่ได้เสี่ยงตาย ไม่ได้จะมีเด็กที่ไหนมาขี่คอ
(แต่ที่ปวดคอเพราะกูนอนตกหมอนจ้า!)
- แต่ในขณะเดียวกัน จากประสบการณ์ที่เราเจอ เราจะไม่ Romanticize ว่ามันดีเกินจริง การยุติการตั้วครรภ์ไม่ได้น่ากลัวและไม่ได้ทรมาน แต่สิ่งที่ทำให้เราลำบากและผู้หญิงหลายคนต้องลำบากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะศีลธรรมชุดหนึ่งที่มาค้ำขอ คอยสั่งสอน คอยตัดสิน ผญ.จะไม่เสียเวลา และจะไม่มีความเสี่ยงเพิ่มเลย ถ้าการทำแท้งถูกกฎหมายและสามารถทำที่สถานพยาบาลใดก็ได้ โดยผ่านการตัดสินใจจากตัวผู้หญิงเอง มันเลยดูลำบากและยุ่งยากกว่าที่ควรจะเป็นเพราะระบบศีลธรรมที่ดันถูกเขียนเป็นกฎหมายนี่แหละ และไม่ใช่เสี่ยงกับตัวผญ.ที่อยากจะยุติการตั้งครรภ์เอง แต่หมอที่อยากจะช่วยผญ.เหล่านี้ก็ต้องมาเสี่ยงด้วย
- ก่อนได้รับการอนุมัติให้ได้รับการบริการ เราถูกซักถามรายละเอียดเยอะมากๆ(ซึ่งเข้าใจได้) แต่บางอย่างเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องsensitive เช่น ทำไมคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเราเขาเลี้ยงได้? ทำไมผู้ชายไม่รับผิดชอบ? เรามั่วsexหรือเปล่าถึงไม่มีคนรับผิดชอบ? ถ้าพ่อแม่รู้จะรู้สึกยังไง? แน่ใจแล้วหรอว่าไม่อยากมีลูก?(คือกูตัดสินใจมาแล้วไง ไม่เคารพการตัดสินใจกูหน่อยหรอ นี่ตัวกูนะ) ไม่กลัวบาปกรรมหรอ? คิดอีกทีไหม? (กูคิดมาหลายรอบละโว้ย) มีศูนย์ช่วยเหลือคนท้องไม่พร้อมนะถ้าเลี้ยงไม่ไหว(ช่วยดูสวัสดิการรัฐกับสภาพรัฐบาลหน่อยเถอะ) บลาๆๆๆ เราได้แต่ยืนยัน100%ว่าเราไม่อยากมี ไม่เคยคิดจะมี และไม่เคยแพลนไว้ 20ปีข้างหน้าก็อยากเป็นอีป้าแก่ๆเต้นในผับและถ้าหิวก็ซื้อผู้ชายกิน
อนาคตอยากเป็นคนรวยค่ะ ไม่ได้อยากเป็นแม่คน
- หลังจากซักถามอยู่นาน ก็ส่งประวัติให้หมอ แล้วหมอก็ยังคงถามกึ่งโน้มน้าวว่าแน่ใจแล้วหรอ ไม่พิจารณา choices อื่นแล้วใช่ไหม เราได้แต่ยืนยันไปว่าพิจารณาดีที่สุดแล้ว ไม่เคยมั่นใจอะไรขนาดนี้มาก่อน
- สุดท้ายเราได้เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลนี้ ขั้นตอนการทำจริงๆไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่เจ็บเหมือนที่คลินิก แล้วได้ดมยาสลบแล้วตื่นมาอีกทีคือทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้เรื่องอะไรเลย งง แบบ อ้าว ผ่าจัดไส้ติ่งยังเจ็บกว่านี้ (ขั้นตอนการทำจริงๆไม่มีอะไรเลย ที่ประสาทแดกเสียเวลาและเสี่ยงทั้งหมดเพราะกฎหมายที่ไม่รองรับและศีลธรรมที่ค้ำคออยู่) แต่การใช้หลอดดูดมดลูกจะใช้เมื่ออายุครรภ์ไม่เกิน12weeks ถ้าอยุครรภ์เกินต้องสอดยาข้ามคืน ค่อยๆให้หลุดไปเรื่อยๆ แล้วค่อยใช้หลอดดูดตอนสุดท้าย
- หลังจากทำเสร็จ พยาบาลจะให้นอนพัก3ชม.บนเตียง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง มีแค่เลือดไหลออกมาแบบประจำเดือนปกติ ก็แค่ใส่ผ้าอนามัย ****จริงๆแล้วการยุติการตั้งครรภ์ก็คือการรับบริการทางสุขภาพอย่างหนึ่ง หรือเรียกว่า "การปรับประจำเดือนให้มาตามปกติ"****
- นอนพักครบ3ชม. พยาบาลให้ดื่มน้ำหวาน และให้ยามาทานพร้อมใบบอกวิธีการทานยา และงดมีเพศสัใพันธ์อย่างน้อย1เดือน หลังจากนั้นเข้าสู่การคุมกำเนิดได้ตามปกติ (ไม่มีใครตายเพราะยุติการตั้งครรภ์ แต่ตายเพราะว่าภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากสถานที่ทำที่ไม่ปลอดภัยค่ะ)
- เราใช้ชีวิตหลังจากนั้นตามปกติ มีอาการเจ็บท้องน้อยเล็กน้อย แต่ไม่มีผลอะไร ปวดท้องประจำเดือนยังปวดกว่าอีก ในระยะยาวก็ไม่มีผลอะไร ร่างกายปกติแข็งแรงดี หลังจากทำไป3สัปดาห์เราก็กลับมาออกกำลังกายปกติเลย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
- สุขภาพจิตปกติ ถ้าเราไม่เป็นบ้าเป็นบอไปกับศีลธรรม เวรกรรม ที่เป็นสิ่งประกอบสร้างทางสังคม เราก็ไม่มีอะไรให้จิตตก ออกจะโล่งอกด้วยซ้ำที่ไม่ต้องฝืนรับผิดชอบชีวิตใคร หรือต้องตกลงปลงใจแต่งงานกับใครทั้งๆที่เราไม่ชอบการแต่งงาน ทำอะไรที่อยากทำ มีอิสระกลับมา และใช้ชีวิตแบบที่อยากใช้
(หรือใครจะเชื่อเรื่องบาปกรรมก็ให้เรารับบาปเองค่ะ ไม่ต้องมาเดือดร้อนแทนเรา เราไม่ได้ลากคุณไปลงนรกด้วย ไปสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมที่อื่น หีกู!!!!)
- concept เรื่องการมีชีวิต เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ใครจะเชื่อว่ามีชีวิตเมื่อเริ่มตั้งครรภ์ หรือเมื่อคลอดกผ้แล้วแต่ แต่คุณอย่าเอาความคิดเห็นส่วนตัวคุณมาโยนชุ่ยๆใส่ชีวิตคนอื่นแล้วก็ไป เพราะคุณไม่ได้มาช่วยรับผิดชอบอะไรชีวิตเขา (สำหรับเรา12สัปดาห์ของเราถ้าคลอดออกมาก็ไม่ได้มีชีวิต เพราะฉะนั้น ถ้าคลอดมาก่อน7เดือนแล้วไม่รอดออกมาเป็นชีวิต = ไม่มีชีวิตค่ะ จบ) และเราไม่ต้องการให้คนที่ต่อต้านการยุติการตั้งครรภ์มาเห็นอกเห็นใจเราหรือเชื่อเรา เราขอแค่พื้นที่ #พื้นที่สำหรับผู้หญิงทุกคนที่จะมีทางเลือกเป็นของตัวเอง
- เราเข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์โดยเสียเงินไปทั้งหมด12,000บาท และรับบริการภายในกรุงเทพ แต่ถ้าทำที่คลินอกจะเริ่มต้น3000บ.(แต่อายุครรภ์ต้องไม่เกิน12สัปดาห์ มากกว่านั้นค่าใช้จ่ายจะเด้งไปที่8,000อย่างต่ำ) ลองคิดดูว่า ผู้หญิงทุกคนจะสามารถเข้าถึงด้วยราคาที่สูงขนาดนี้ได้ทุกคนไหม ถ้าเข้าถึงไม่ได้แล้วไปทำแท้งเถื่อนราคาถูก จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือถ้าเขาอยู่ ต่างจังหวัด แล้วไม่สามารถเดินทางมาได้หรือมีงบเกินทางมาไม่มากพอ ทำเสร็จแล้วต้องพักที่ไหน ค่าใช้จ่ายอีกเท่าไร คุณก็ลองดูว่า3000/8000/หรือ12,000บาทเขายังไม่มีมากพอเพื่อเข้ารับบริการ แล้วเขาจะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ยังไง? และการยุติการตั้งครรภ์เป็นบริการทางสุขภาพ ควรใช้สิทธิ์ได้ เบิกประกันสังคมได้ และควรกระจายเข้าถึงโรงพยาบาลและสถานพยาบาลทุกพื้นที่
- ทุกวันนี้ยังจินตนาการเล่นๆเลยว่าถ้ามีลูกอยู่ตอนนี้ชีวิตคงจะวุ่นวายและลำบากน่าดู ใต้รัฐบาลเฮงซวยที่ไม่มีสวิสดิการอะไรดีๆมารองรับ แค่ใช้ชีวิตโสดคนเดียวยังลำบากขนาดนี้ ตอนนี้ถ้ามีลูกมีผัวไม่รู้จะลำบากขนาดไหน สุขภาพจิตเสียอีกสารพัด เลิก romanticize ชีวิตครอบครัวได้แล้ว ครอบครัวไม่ใช่ safe zone สำหรับทุกคน และคุณไม่รู้หรอกว่ามีเหยื่ออีกกี่คนที่ต้องอยู่กับความรุนแรงในครอบครัว toxic relationship หรือ abusive relationship ไปไหนไม่ได้ เพราะมีลูก ปลดตัวเองจากพันธนาการที่คุณไม่จำเป็นต้องผูกเถอะค่ะ ชีวิตเป็นของคุณ
- วันนี้มองกลับไปแล้วภูมิใจนะที่เราเลือกที่จะไม่ใช้ชีวิตอยู่ใต้ความกลัว กลัวที่จะสูญเสียแฟน หรือครอบครัวแฟน กลัวที่จะอยู่คนเดียว กลัวการตัดสินจากสังคม กลัวการกดดันทางศีลธรรม กลัวโดนด่า กลัวสารพัดอย่าง แต่วันนี้เราได้ใช้ชีวิตของเราแล้ว เราภูมิใจมาตลอดที่หลุดพ้นจากตรงนั้นและได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการ เรายังมีแพลนอีกมายในชีวิตที่อยากทำ และที่สำคัญยังมีรัฐบาลให้ด่าทุกวัน ชั้นยังต้อง fight อีกเยอะจนกว่าประเทศจะเป็นประชาธิปไตยและอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนค่ะ
ป.ล.สุดท้าย ชีวิตคนเราจะดีหรือแย่ไม่ใช่เวรกรรม แต่อยู่ที่รัฐบาลและอำนาจในการเลือกของประชาชน แหกตาดูเอาค่ะ ทุกวันนี้ทุกคนชิบหายเหมือนกันหมด