ยังไม่ทันนกกระจอกกินน้ำ ปรีดี ดาวฉาย ลาออกจากตำแหน่ง รมว.คลัง ที่เป็นมาได้เพียง ๒๐ วัน ไม่ใช่เพราะ ‘การเมืองสุดเขี้ยว’ มากไปกว่าความ ‘ขี้เท่อ’ ของคนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่มีสมรรถนะพอที่จะใช้คนให้ถูกกับงาน นึกว่าเหมือน ‘แรมโบ้อีสาน’ ไปหมด
สุพร อัตถาวงศ์ นั่นงกๆ ลิ้นห้อยคอยรับใช้นายตามสายพันธุ์ของเขา (ดูรูปจากวาสนา นาน่วม แล้วจะเห็น) แต่ปรีดีเข้ามาเพราะแรงกดดันจากนายเก่าและความคาดหวังว่าจะได้เป็น ‘พระเอก’ ของแวดวงนักธุรกิจระดับเจ้าสัวไทย (ตามที่ ‘โพสต์ทูเดย์’ วาดภาพ)
เข้าไปแล้วก็เจอ ‘เขี้ยว’ ชั้นเชิงการเมืองและการช่วงชิงตาม ‘สันดอน’ ของการเมืองไทย ที่คนเป็นหัวหน้า หรือ ‘นายใหญ่’ ต้องมีไหวพริบและความรอบรู้ให้ ‘ล้ำหน้า’ คนเหล่านั้น ไม่ให้สามารถ ‘ตบตา’ หรือว่า ‘เกทับ’ ได้ง่ายๆ
ทำเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด ‘ดุ’ อย่างเดียว ช่วยอะไรไม่ได้ ว่าอะไรไปพวกเขาอาจทำเป็นหงอหรือนิ่งเสีย แต่แล้วก็ใช้ ‘ชั้นเชิง’ เรียกเอาสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ไม่ต้องกระโตกกระตาก ปรีดีพบกับปัญหาการจะเข้าไปบริหารงานองค์กรตั้งแต่วันแรกๆ
“ปรีดียังต้องขึ้นกับ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับดูแลกระทรวงการคลังอีกกระทรวงหนึ่ง สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนที่คาดหวังในตัวปรีดี” บทความโพสต์ทูเดย์อ้าง
“ในฐานะ รมว.คลัง ควรจะได้นั่งเป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๔ แต่นายกรัฐมนตรีก็ปล่อยให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลังนั่งเป็นประธานจนถึงปัจจุบัน” อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่มาข่าวที่ว่าเขาถูก ‘สันติ’ งัด
ประชาชาติธุรกิจให้ภูมิหลัง ‘ช่วงเช้า’ ก่อนที่ปรีดีจะยื่นลาออกว่าเขาเสนอ วาระการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (ซี ๑๐) ของกระทรวงการคลังต่อคณะรัฐมนตรี ที่ประชุมอนุมัติทั้งสี่รายการ ‘แต่’ เจอ ‘ตอ’ ตอนช่วงเบรค
เมื่อ รมช.สันติได้คุยปรึกษาหารือกับหัวหน้าพรรค พปชร. ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้วประวิตรก็เรียกปรีดีเข้าไปคุย “ที่มุมห้องประชุม ครม....อย่างเคร่งเครียด” ชนิด “ทำให้รัฐมนตรีรายอื่นเดินเลี่ยงที่จะเข้าไปอยู่ร่วมวง” ไม่มีใครระแคะระคายจนหลังเลิกประชุม
ลึกกว่านั้นว่า โผย้ายซีสิบของปรีดีนี้ ‘ติดกึก’ ใน ครม.สัญจรที่ระยองมาก่อนแล้ว จนทำให้ รมว.ต้องถอนออกไปก่อน เนื่องเพราะโผโอนนายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต
นั้น รมช.สันติไม่เห็นด้วยเนื่องจากตนต้องการให้นายประภาศ คงเอียดไปดำรงตำแหน่งนี้ เวลาประชุม ครม.เมื่อ ๑ กันยา รมช.จึงได้เสนอโผย้ายข้าราชการคลังอีกโผแข่งกับ รมว. รูปการณ์เช่นนี้ หากปรีดียอม ‘กินน้ำใต้ศอก’ อยู่ไปก็ช้ำใน เว้นแต่จะทนได้อย่าง ปชป.
“เช่นนี้ทำให้ปรีดีทำใจยอมรับไม่ได้ ก็เป็นฟางเส้นสุดท้ายขอโบกมือลาออกจากตำแหน่ง เพราะอยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และยังทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาในภาคเอกชนย่อยยับหายไปด้วย” โพสต์ทูเดย์ท้าวความด้วยว่าก่อนจะมาก็กล้าๆ กลัวๆ อยู่แล้ว
“ในแง่ของการกอบกู้วิฤตเศรษฐกิจ...ภาคเอกชนก็คาดหวังว่า ปรีดี จะนำเรื่องต่างๆ นานา มาสานต่อ แต่ปรากฏว่าเมื่อเข้ามาอยู่ในตำแหน่งกลับทำอะไรไม่ได้อย่างที่วาดฝันไว้” ในตำแหน่ง รมว.ที่ไม่ควบรองนายกฯ ปรีดีต้องอยู่ใต้กำกับของ ศบศ.ด้วย
ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลโควิด-๑๙นั้น มี “กรรมการติดตามมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่นายปรีดีควรได้นั่ง แต่นายกรัฐมนตรีกลับเลือกคนนอกมานั่ง กลายเป็น รมว.คลังต้องอยู่ภายใต้กำกับดูแลของคนที่ไม่ใช่รัฐมนตรีอีกชั้นหนึ่ง”
โพสต์ทูเดย์บอกว่า “ต้องโทษการจัดทัพทีมเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ และการจัดโครงสร้างของ ศบศ. รวมถึงการปล่อยให้ปรีดีโดดเดียวไร้ความหมาย เพราะนายกให้ความสำคัญการบริหารการเมืองมาก่อนการบริหารเศรษฐกิจ”
ด้านประชาชาติฯ ก็ว่า “แกนนำพรรค พปชร.ระดับหัวหน้ามุ้งอีกราย ให้ความเห็นว่าภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีคงเสียหาย กระทบความเชื่อมั่นว่าต่อไปคงไม่มีบุคคลภายนอกอยากเข้าเร่วมงานกับรัฐบาล” ก็มีคนเสนอแนะมากมาย
ชำนาญ จันทร์เรือง อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้ตั้ง วิษณุ เครืองาม เข้าไปแทนเสียเลย เนื่องจากวิษณุเป็นรองนายกฯ ที่รู้ดีทุกอย่าง ยืนยันไม่มีการขัดแย้งภายใน เพราะตนทราบว่าปรีดีป่วยมาได้สองวันแล้ว ตามข้ออ้างของเจ้าตัวที่ยื่นใบลาออก
ส่วน มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.ปัดเศษตัวแสบประกาศเรียกประชุม ‘พรรคเล็ก’ (หมายถึง ๑๐ พรรคที่ กกต.ปัดเศษให้ได้ ส.ส.คนละที่นั่งเพื่อเข้าไปโหวตให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ นั่นละ) เขาว่าเหตุเพราะสถานการณ์การเมืองน่าเป็นห่วง
แต่ ‘บอล’ ธนวัฒน์ วงค์ไชย นักกิจกรรมปีสามจุฬาฯ ออกมาสนับสนุนให้ประยุทธ์เข้าไปเป็น รมว.คลังเองเลย “ไหนๆ มันก็พังแล้ว” เขาว่า “เอาให้มันพังให้สุด แล้วหยุดที่ ‘แก้ไขรัฐธรรมนูญ’ บวก ‘ยุบสภา’ ครับ”
(https://www.posttoday.com/finance-stock/news/632008 และ https://www.prachachat.net/politics/news-514792)
