ในสถานการณ์เชื้อร้ายระบาดอันเป็นวิกฤตโลกเช่นนี้
ประเทศไหนๆ ใหญ่เล็กล้วนพยายามนำคนสัญชาติตนกลับประเทศ
แคนาดา-สหรัฐส่งเครื่องบินไปรับจากจีน เยอรมนีและอียูเหมาเครื่องบินส่งกลับบ้านจากไทย
แต่ไทยเองกลับบอกผู้ตกค้างต่างแดนรอก่อน
พ้นวันที่ ๑๕ เมษาค่อยมา และประกาศอย่างฉุกละหุก ไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คนเป็นร้อยๆ
ที่ออกเดินทางก่อนจะมีประกาศ ต้องเจอกับภาวะขวัญแขวน
เมื่อไปติดอยู่สนามบินไม่ถึงบ้าน
“ปฏิบัติการทั้งหมดยุ่งเหยิงสิ้นดี
เจ้าหน้าที่ต่างคนต่างให้ข้อมูลไม่ตรงกัน” มิหนำซ้ำ “เจ้าหน้าที่เหล่านั้นทั้งดุและหยาบคาย
ปฏิบัติต่อพวกเราเหมือนเป็นอาชญากร” เป็นคำของผู้เดินทางกลับไทยจากอัมสเตอดัมรายหนึ่งซึ่งถูกนำตัวไปสัตหีบเมื่อ
๒ เมษา
คล้ายกับกรณีผู้โดยสารจากนิวยอร์ค ๑๕๘ คนถูกกักตัวให้รอกว่า
๕ ชั่วโมงเมื่อคืนวันที่ ๓ เมษา แล้วจะส่งต่อไปสัตหีบ แต่ผู้โดยสารเหล่านั้นไม่ยอม
ถกเถียงกับเจ้าหน้าที่ทหาร ๓ คน จนท้ายที่สุดฝ่ายเจ้าหน้าที่ยอมให้แยกย้ายกันออกไปจากสนามบินได้
แต่กลับกลายเป็นที่โจทย์จรรว่าพวกเขาเหล่านั้นหลบหนีการเก็บตัว
๑๔ วัน ตามคำสั่งที่รัฐบาลออกประกาศหลังจากที่คนเหล่านั้นได้ขึ้นเครื่องจากประเทศต้นทางแล้ว
ถึงขั้นนักบินคนหนึ่งเขียนข้อความบริภาษณ์ว่า “รู้จักคำว่าจิตสำนึกสาธารณะไหมครับ”
ผู้ใช้นามเฟชบุ๊ค Arch
Chamnansil อ้างคุณธรรมว่า “เราพาพวกคุณกลับบ้าน ผมต้องกักตัวเอง ๑๔
วัน (นี่เป็นรอบที่สองแล้ว) แล้วคุณเป็นใครครับ ทำไมถึงหนี” วันรุ่งขึ้นนายกรัฐมนตรีมีคำเฉียบ
สั่งให้ติดตามจับกุมพวกเขากลับมาควบคุม
จนเมื่อมีคลิปเหตุการณ์โต้เถียงที่สุวรรณภูมิออกมาแพร่ต่อๆ
กันเกร่อ ฝ่ายทหารจึงได้แถลงยอมรับผิดว่าบริหารจัดการไม่ดี
จากนั้นบรรดาผู้ที่กลับบ้านแล้วต่างทะยอยกลับไปรายงานตัว เพื่อการกักตัวตามระเบียบจนครบทุกคนแล้ว
นายทหารที่เจรจากับผู้โดยสารคืนนั้นคนหนึ่ง
ถูกเรียกตัวกลับหน่วยและสอบความประพฤติ ว่าฝืนคำสั่ง “ใช้อำนาจเกินหน้าที่” ปล่อยผู้ที่ควรถูกกักตัวไป
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรัฐบาลออกคำสั่งโดยไม่มีการไตร่ตรองแผนรองรับต่างหาก
ซ้ำยังไล่ตามปัญหา ไม่รีบร้อนเป็นขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก
ทั้งที่เขารู้กันทั่วโลกว่าประเทศที่จำนวนคนตายน้อยในขณะที่จำนวนคนติดมากมาย
ล้วนลงมือจัดการทันทีทันใดเมื่อข่าวการระบาดเริ่มปรากฏใหม่ๆ ใช้ทั้งมาตรการสกัดกั้นและการตรวจอย่างกว้างขวางหาผู้ติดเชื้อทันที
ดัง นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญโรคระบาด
โรงพยาบาลจุฬาฯ เสนอความเห็นสาธารณะว่า “การตรวจเฉพาะคนมีอาการ จะไม่มีวันตัดการแพร่ระบาดไปได้”
ต้องตรวจทั้ง ‘คนมีอาการ’
และ ‘ไม่มีอาการ’
เพื่อตัดลูกโซ่ของการแพร่เชื้อ
รูปการณ์ทำให้เห็นว่าการระบาดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โควิด-๑๙
นี้ ประเทศไทยยังงุ่มง่าม และจะมองไม่เห็นวันที่สามารถควบคุมโรคร้ายได้อย่างราบคาบอีกนาน
เพราะการแก้ปัญหาอย่างลักลั่น ไม่มีมาตรการต่อเนื่องและรองรับ
นี่ก็มีประกาศห้ามเครื่องบินโดยสารจากต่างประเทศเข้าไทยอย่างเด็ดขาด
เป็นการชั่วคราว ๓ วัน ถึงวันที่ ๖ เมษายน ที่คนทั่วไปงงว่าทำไมแค่สามวัน
จะสกัดไวรัสได้สักเท่าไรเชียว มีเบื้องหลังอะไรหรือเปล่า ในเมื่อตรงกับวันจักรีพอดี
ดูจากเหตุเกิดที่สุวรรณภูมิวันที่ ๓ เมษา
รัฐบาลในสถานการณ์ฉุกเฉินนี่บริหารจัดการภาวะวิกฤตแบบวันต่อวัน เที่ยวบินจากยุโรปร้อยกว่าคนถึงสุวรรณภูมิตอนสาย
ถูกนำตัวไปกักไว้ที่สถานีดับเพลิง แล้วนำตัวขึ้นรถทัวร์ไปต่อโดยไม่ยอมบอกว่าไปไหน
ผู้ใช้นาม ‘siam สยาม
@siam’ เขียนเล่าว่าพวกเขาถูกต้อนขึ้นรถหลังจากที่รอมาหลายชั่วโมง
ถามเท่าไรก็ไม่มีใครยอมบอกว่าไปไหน เจ้าหน้าที่บางคนบอกว่าจะพาไปทำการตรวจหาเชื้อ
ขึ้นรถแล้วจึงรู้จากคนขับว่าไปสัตหีบ แวะพักกลางทางระหว่างชลบุรีกับพัทยา
รถจอดที่ปั๊มคนขับลงจากรถปิดประตูแล้วผละไป
แต่ไม่ยอมให้ผู้โดยสารลงด้วย ผู้โดยสารจึงกดปุ่มเปิดประตูเองเพื่อไปซื้ออาหารร้านเซเว่น
แต่ทางร้านไม่ยอมขายเพราะได้รับคำสั่งจากตำรวจไว้ไม่ให้ขาย พวกผู้โดยสารเริ่มซักความเอากับตำรวจที่ไปกับรถ
จนมีกำลังตำรวจและหน่วยอาสาฯ จากท้องที่ราว
๒๐ คนไปรักษาการให้ผู้โดยสารกลับขึ้นรถ จนถึงสัตหีบเมื่อเที่ยงคืน
พอรู้ว่าต้องนอนรวมกันห้องละสามคน จึงเริ่มถกเถียงกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ ซึ่งเคยใช้เก็บตัวนักศึกษาเดินทางกลับจากอิตาลี
และคนไทยจากอู๋ฮั่นก่อนนั้น
ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ยอมนำผู้โดยสารชุดนั้นขึ้นรถทัวร์กลับเข้ากรุงเทพฯ
เมื่อตีห้า นำไปเข้าโรงแรมใกล้สนามบินเพื่อการกักตัว ๑๔ วัน แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ‘สยาม’ บอกว่าพวกเขาต้องเผชิญความหิวและหวาดหวั่นเป็นเวลากว่า
๒๐ ชั่วโมง