“กกต.ไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานได้เลย
ว่าตกลงผมผิดตรงไหน” นี่เองทำให้ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
โพล่งออกมาระหว่างเปิดแถงข่าวร่วมกับปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ว่า “ความอดทนของคนมีขีดจำกัด”
นั่นหลังเสร็จจากเข้าให้การกับคณะกรรมการไต่สวนของ
กกต. (ซึ่งมี ปรีชา นามเมืองรักษ์ เป็นประธาน) เมื่อบ่ายวันที่ ๓๐ เมษายน จากการที่
กกต.ได้มีมติแจ้งข้อกล่าวหาว่าหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เป็นผู้ถือหุ้นสื่อในบริษัท
วี-ลัค
เขาเผยว่าการเข้าให้การครั้งนี้มีส่วนที่เกิดความตึงเครียด
เมื่อเขาถามย้อนต่อคณะกรรมการว่า “เอกสาร (๒๖ รายการที่เขายื่น)
ตรงไหนผิด...หลักฐานชิ้นใดทำให้ไม่น่าเชื่อว่าการโอนหุ้นครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ตั้งแต่วันที่ ๘ มกราแล้ว”
ในเมื่อ กกต.ไม่สามารถตอบให้กระจ่างได้ “ผมจึงเชื่อได้ว่าคดีนี้มีมูลเหตุแรงจูงใจ
ไม่ใช่เรื่องความเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นมูลเหตุแรงจูงใจทางการเมือง”
ทำให้ปิยะบุตรเสริมต่อว่า “การตั้งข้อกล่าวหา น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
ปิยะบุตรยังแถลง “ขอสงวนสิทธิในการดำเนินการตามกฎหมายต่อ
กกต.ต่อไป” ทั้งในความผิดทางอาญามาตรา ๑๕๗ และระวางโทษตาม พรป.การเลือกตั้ง
ที่มีทั้งจำคุก ปรับ และถอนสิทธิการเลือกตั้ง โดยเขาย้ำเตือนอีกครั้งก่อนปิดการแถลงข่าวว่า
“ถ้าเรื่องมันจบก็ให้จบ อย่าดึงดันขึงขัง
ลากกันไปให้ได้ ข้อกฎหมายก็ไม่เข้า ข้อเท็จจริงก็ไม่เข้า
อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบตอนนี้ก็ไม่มีนะครับ ให้ระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย”
เหตุหนึ่งซึ่งทำให้เลขาฯ อนค.ฟันธงว่า กกต.วินิจฉัย
‘ผิด’ ที่แจ้งข้อกล่าวหาต่อธนาธร
ก็ตรงที่ในเมื่อไม่สามารถตอบได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาผิดตรงไหน แต่กลับ “ไม่เคยเรียกธนาธรไปชี้แจง
มีเอกสารฉบับเดียวส่งถึงนางสมพร
จึงรุ่งเรืองกิจ (มารดาของธนาธร) ให้ไปชี้แจง” แต่เอกสารไปถึงผู้รับเมื่อบ่ายโมง
๔๕ นาฑีวันที่ ๒๒ เมษา ทั้งที่กำหนดเวลาชี้แจงเป็นตอนสายวันเดียวกัน ๑๐.๓๐ น. “จะเป็นไปได้อย่างไร”
ครั้นรุ่งเช้าวันต่อมา ๒๓ เมษา กกต.กลับออกมติตั้งข้อกล่าวหาต่อธนาธรเลยทันที
“นั่นคือท่านใช้อำนาจโดยไม่ชอบ ทำไมไม่เรียกนายธนาธรไปถาม” ในเมื่อคำฟ้องมีเพียง ๓
บรรทัด อ้างแต่เพียงว่า “ตรวจจาก อบจ.แล้ว ท่านตีขลุมทันทีว่าธนาธรถือหุ้น”
มิหนำซ้ำยัง “เอาข้อกล่าวหาของ ‘อิศรา’ มาฟ้องทั้งดุ้น ขาด ‘due process of
law’ แล้วยังลุกลี้ลุกลนจนเกินเหตุ” ปิยบุตรบอกว่าทาง
อนค.จะทำข้อชี้แจงอีกฉบับเป็นพิเศษเกี่ยวกับการกระทำของ กกต.
เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ยังฝากคำสอนไปถึงสื่อมวลชนด้วยว่า
“นักการเมืองพร้อมจะถูกตรวจสอบ
แต่อยากให้สื่อตรวจสอบทั้งนักการเมืองจากการเลือกตั้งและนักการเมืองจากรัฐประหารอย่างเท่าเทียมกัน...สื่อคือคนเอาข้อเท็จจริงออกมาให้ปรากฏ
สื่อไม่ใช่พูดข้อเท็จทุกวันจนกลายเป็นจริง”
นี่คงหมายถึงสื่ออย่าง ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.สำนักข่าวอิศรา
ที่ลงข่าวโจมตีเรื่องหุ้นธนาธรทุกวันวันละเกือบสองเวลา
จนบรรดาคอการเมืองสายสลิ่มเก็บเอาไปด่าธนาธรอย่างเสียๆ หายๆ
จึงไม่แปลกที่ธนาธรกล่าวอีกตอนว่า “มีสื่อบางสำนักเอาเรื่องเหล่านี้มาปั่นทุกวัน
จนมีบางคนเชื่อว่าธนาธรผิด” เขาเผยด้วยว่าในช่วง ๑ ปีของการทำงานพรรคการเมืองนี้มา
ตัวเขาและแกนนำในพรรคโดนข้อหาปักอยู่ถึง ๑๖ คดี
มันเป็นความเสียหายโดยใช่เหตุ แทนที่จะเอาเวลาตอบโต้ข้อกล่าวหาไปตระเตรียมตัวในการเป็น
ส.ส.คุณภาพให้แก่ประชาชน “มันเป็นกระบวนการทำลายกันทางการเมือง” ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ต้องบอกว่า
“ก็ต้องฟ้องกลับบ้าง
มีหลายกรณีนะครับที่คุณศรีสุวรรณเอาเรื่องเท็จมาฟ้อง...มีหลายกรณีที่เรามีหลักฐานชัดเจนว่ามีสื่อมวลชนหลายสำนักเอาข้อความที่ไม่เป็นจริง
เกิดความเสียหาย...มาปั่น ซึ่งผิดกฎหมาย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมก้ต้องบอกว่า
ความอดทนของคนมีขีดจำกัด (ย้ำซ้ำ) ถ้าจะเดินหน้ากันต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ...ผมขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการทางกฎหมายตอบโต้
ผมเป็นคนใจเย็น จะรอจนกว่า คสช.หมดอำนาจแล้ว” เสียก่อน ในเมื่อมาตรา ๑๕๗
มีอายุความถึง ๑๕ ปี
แบบนี้ทำให้ บก.ฟ้าเดียวกัน ธนาพล อิ๋วสกุล
ฟันธงว่าคดีหุ้นนี่ธนาธรรอดแน่ ๙๙% แต่ไม่ใช่ด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย
ในเมื่อพฤติกรรมของพวกพ้องรัฐประหารที่ผ่านมา กฎหมายตีความตามใจได้เสมอ
แต่น่าจะเพราะขณะนี้พรรคพลังประชารัฐก็โดนชนัก ‘หุ้นสื่อ’ ปักอยู่หลายดอกเช่นกัน
ว่าที่ ส.ส.ของ
พปชร.ที่กำลังตกเป็นเป้าขณะนี้มีอย่างน้อย ๓ คน ได้แก่ มาดามเดียร์ (น.ส.วทันยา
วงษ์โอภาสี) ซึ่งอยู่กินมีลูกเต้าด้วยกันฉันสามีภรรยากับนายฉาย บุนนาค
หุ้นหลักรายหนึ่งของนิวมีเดียที่บริหารจัดการและกำกับสื่อสองสามรายคือ สปริงนิวส์
เนชั่น และฐานเศรษฐกิจ
อีกสองรายคือ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ
และน.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ที่กรรมการบริหาร พปชร.ประชุมถกปัญหากันเมื่อวันก่อน
(๒๙ เมษา) สรุปว่าคนเหล่านี้แม้จะมีบริษัทในครอบครองที่จดทะเบียนว่าประกอบธุรกิจสื่อจริง
“แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อ”
บ้างทำอสังหาริมทรัพย์ บ้างกฎหมายไม่สามารถสาวไปถึงตัวผู้นั้นได้
ข้ออ้างเหล่านั้นนั่นแหละที่นำไปใช้กับกรณีของธนาธรได้ตรงเผง
จนทำให้ กกต.เกิดอาการอึ้งเมื่อธนาธรยันว่าไม่มีใครสามารถหักล้างหลักฐานของเขาได้