วันเสาร์, เมษายน 14, 2561

ภายใต้การกำหนดว่า จะต้อง “ไม่เสียของ”! สุรชาติ บำรุงสุข มอง การเมืองไทยปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะย้อนกลับสู่ตัวแบบยุคจอมพลถนอม กิตติขจรปี 2511… ที่มีการจัดตั้งพรรคทหาร พร้อมกับมีมาตรการต่างๆ มาเสริมให้รัฐบาลทหารเกิดความได้เปรียบ...


ภาพจาก มติชนสุดสัปดาห์


ส่วนหนึ่งของบทความ


สุรชาติ บำรุงสุข : เจาะเวลาหาอดีต! ย้อนยุคการเมืองกึ่งศตวรรษ


มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 เมษายน 2561


“สงครามหรือรัฐประหารส่วนใหญ่มักจะกระทำในนามของประชาธิปไตยเพื่อล้มล้างประชาธิปไตย”

EDUARDO GALEANO
นักเคลื่อนไหวชาวอุรุกวัย

.

จะต้อง “ไม่เสียของ”!

... รัฐบาลทหารจะต้องควบคุมการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่มีการเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบสำคัญให้ได้

และหลักประกันของการควบคุมการเมืองก็คือ รัฐบาลทหารจะต้องเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น

เพราะหากรัฐบาลทหารแพ้ จะนำไปสู่การ “พ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์” ครั้งใหญ่ ที่จะส่งผลต่อพลังอำนาจและเครือข่ายของกลุ่มขวาจัดที่แสดงบทบาทในการสนับสนุนรัฐประหารมาโดยตลอด

ภายใต้การกำหนดว่ารัฐบาลทหารจะต้องชนะการเลือกตั้งให้ได้นั้น จึงมีการกำหนดมาตรการต่างๆ รองรับ ไม่ว่าจะเป็นการ

(1) การสร้างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นข้อจำกัดต่อพรรคการเมืองในอนาคต

(2) การสร้างกฎกติกาการเมืองและกฎหมายที่ไม่เอื้อการดำเนินการทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

(3) การออกยุทธศาสตร์ 20 ปีให้เป็นข้อบังคับให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งไม่สามารถมีบทบาทในการเป็นผู้สร้างนโยบายใหม่ๆ ได้ แต่ต้องดำเนินการไปตามกรอบนโยบายที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ 20 ปี

(4) การกำหนดให้มีวุฒิสมาชิกจำนวน 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อรองรับต่อการสืบทอดอำนาจในอนาคต

(5) ออกคำสั่ง คสช. ให้ กอ.รมน. ซึ่งมีฐานะเป็นเสมือน “กระทรวงทหาร” มีบทบาทในการจัดตั้ง “รัฐบาลซ้อนรัฐบาล”

และ (6) จัดตั้ง “ทีมขับเคลื่อน” จำนวน 7,255 ทีม ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ลงสู่หมู่บ้านทั่วประเทศ ซึ่งก็คือการจัดทีมของรัฐบาลทหารลง “ยึดพื้นที่” ก่อนที่การเลือกตั้งจะมาถึง

การสร้างมาตรการทั้ง 6 ประการเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลทหารต้องการสร้างความได้เปรียบทางการเมือง และขณะเดียวกันก็เป็นหลักประกันว่าในระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลทหารจะเป็นผู้ชนะ และจะเป็นผู้กำหนดทิศทางการเมืองไทยต่อไป

ประเด็นสำคัญก็คือ จะต้องไม่ปล่อยให้อำนาจทางการเมืองถอยกลับไปอยู่ในมือของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในอนาคตจะต้องไม่นำไปสู่สถานการณ์เช่นกรณีชัยชนะของพรรคเพื่อไทยหลังรัฐประหาร 2549 จนกลายเป็นวาทกรรมสำคัญในบรรดาปีกขวาทั้งหลายว่ารัฐประหารครั้งนั้นเป็นการ “เสียของ” เพราะไม่สามารถหยุดยั้งชัยชนะของพรรคการเมืองที่เพิ่งถูกโค่นล้มจากการรัฐประหารได้

ในสถานการณ์ที่รัฐบาลทหาร คสช. ตระหนักว่าในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่สามารถดำรงอยู่ในอำนาจได้ตลอดไป และความฝันที่จะคุมอำนาจแบบ “เบ็ดเสร็จ” เช่นในยุคจอมพลสฤษดิ์ก็เป็นไปไม่ได้ด้วยแล้ว

การเตรียมการที่จะต้องเดินทางสู่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

พวกเขาจึงสร้างมาตรการต่างๆ จนกติกาการเมืองไทยกลายเป็นความ “พิกลพิการ” ที่ไม่มีใครกล้าคาดเดาได้ว่าผลของการใช้จริงในอนาคตจะเป็นเช่นใด

แต่ความพิกลพิการทั้งหลายที่สะท้อนผ่านกฎหมายต่างๆ ล้วนบ่งบอกถึงการสร้างความได้เปรียบทางการเมืองที่จะต้องทำให้การเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นจะต้องไม่ทำให้เกิดอาการ “เสียของ” อีกครั้ง

มาตรการทั้งหกจึงเป็นดัง “สิ่งกีดขวาง” ทางการเมืองที่ถูกออกแบบเพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลับสู่กระบวนการสร้างประชาธิปไตย และอำนาจทางการเมืองตลอดรวมถึงอำนาจในการกำหนดนโยบายจะต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของพรรคการเมือง เว้นแต่จะเป็นพรรคของฝ่ายทหารเท่านั้น

.

เส้นทางสู่ปี 2511

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับสู่อดีต จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พล.อ.เปรมไม่ได้ตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานของตนเอง

แต่ คสช. กลับพยายามจัดตั้งพรรคของตนเองขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันของการอยู่ในอำนาจอนาคต

ลักษณะเช่นนี้ทำให้อาจเปรียบว่าใกล้เคียงกับตัวแบบการเมืองไทยในปี 2511 ของยุคจอมพลถนอม กิตติขจร มากกว่า

ดังนั้น สิ่งที่จะเห็นได้ชัดในอนาคตก็คือการกำเนิดของ “พรรคทหาร” หรือ “พรรครัฐบาลทหาร” และขณะเดียวกันก็อยู่ในรูปของการจัดตั้งเครือข่ายของพรรคขนาดเล็กและพรรคขนาดกลางบางส่วนที่มีทิศทางชัดเจนในการสนับสนุนผู้นำรัฐบาลทหาร และพยายามรวบรวมพรรคเหล่านี้มาเป็นฐานรองรับรัฐบาลในอนาคต

ในขณะเดียวกัน บรรยากาศทางการเมืองที่คล้ายคลึงกันประการหนึ่งก็คือ หลังจากมีการออกกฎหมายให้จดทะเบียนพรรคการเมืองแล้ว ภาวะที่พรรคการเมืองถูกยกเลิกไปนาน ทำให้มีผู้มาจดทะเบียนในเดือนตุลาคม 2511 มีถึง 15 พรรค

และขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ผู้สมัครแบบไม่สังกัดพรรคลงแข่งขันด้วย

พร้อมกันนี้ รัฐบาลทหารก็จัดตั้ง “พรรคสหประชาไทย” ขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า ผลการเลือกตั้งนั้น พรรครัฐบาลทหารชนะด้วยคะแนน 76 เสียง แต่ผู้สมัครไม่สังกัดพรรคมีคะแนนรวมกันถึง 71 เสียง และลำดับถัดมาคือพรรคประชาธิปัตย์ได้ 57 เสียง น่าสังเกตว่าเสียง ส.ส. ไม่สังกัดพรรคสูงรองจากพรรคทหาร

พรรคสหประชาไทยจึงได้รับโอกาสจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ต้องรวมเอาเสียงของผู้สมัครแบบไม่สังกัดพรรค และพรรคเล็กๆ บางส่วนเข้าร่วมรัฐบาล โดยรัฐบาลทหารรวมได้ 110 เสียงจากทั้งหมด 219 เสียง

แต่ก็เป็นไปดังคาด รัฐนาวาในรูปแบบเช่นนี้ไม่มีความยั่งยืน และไร้เสถียรภาพในตัวเอง และสุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยการรัฐประหารในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514

การเมืองไทยปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะย้อนกลับสู่ตัวแบบปี 2511… รัฐบาลทหารพยายามต่อสู้ทางการเมืองด้วยการจัดตั้งพรรคทหาร พร้อมกับมีมาตรการต่างๆ มาเสริมให้รัฐบาลทหารเกิดความได้เปรียบ แต่ก็คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าผลลัพธ์ครั้งนี้ก็อาจจะไม่แตกต่างจากอดีต ถ้ารัฐบาลทหารชนะ ก็จะต้องเผชิญกับการไร้เสถียรภาพทางการเมืองดังเช่นรัฐบาลจอมพลถนอม เพราะรัฐบาลอยู่ได้ด้วยเสียงจากพรรคเล็ก ถ้าดูแนวโน้มจากอดีตแล้ว การเมืองชุดนี้จะต้องมีรัฐประหารในแบบ 2514 ซ้ำอีกหรือไม่ในอนาคต


ถ้าเป็นเช่นนี้ ละครย้อนยุคอาจจะดูสนุก แต่การเมืองย้อนยุคไม่สนุกแน่นอนครับ!