วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 12, 2560

วิเคราะห์ได้ดี ชอบ แชร์... หมูสยามกับพญาอินทรี (ในมุมมองสัจนิยมใหม่)





หมูสยามกับพญาอินทรี (ในมุมมองสัจนิยมใหม่)

ถ้าไม่มุ่งสอพลอเยินยอกันเกินไป นักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะพบว่า การเยือนสหรัฐของหัวหน้าคณะรัฐประหารไทยไม่ได้มีอะไรเกิดประโยชน์กับประเทศไทยมากเท่ากับประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายสหรัฐ

ถ้าแนวคิดสัจนิยมใหม่คือการมองระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและดุลแห่งอำนาจแบบอนาธิปัตย์แล้วไซร้ เราจะเห็นว่า ภูมิศาสตร์ทางการเมืองระหว่างประเทศในยุคปัจจุบันนั้น สหรัฐยังมีกำลังทางทหารอย่างล้นเหลือเกินกว่าใครจะต้านทานได้อยู่แล้ว แต่อิทธิทางเศรษฐกิจและการเมืองนั้นลดลงอย่างมากอันเนื่องมาจากการเติบโตของจีน สิ่งที่สหรัฐในสมัยทรัมป์จะต้องทำคือ “จำกัด” การเติบของจีนไม่ให้กลายเป็นภัยคุกคามกับอิทธิพลของสหรัฐ ดังนั้นทรัมป์จึงเรียกหา “พันธมิตร” ที่จะเสริมอิทธิพลของสหรัฐ การเชิญผู้นำจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปวอชิงตันนับแต่เขาขึ้นสู่ตำแหน่งจึงเป็นการบอกกับจีนกลายๆว่า สหรัฐยังมีอิทธิพลและพรรคพวกในย่านนี้ (ควรจะเกรงใจกันหน่อย)

แต่ทรัมป์เป็นพ่อค้า แทนที่เขาจะให้รางวัลกับพันธมิตรที่ไปเยือนเขาในรูปของความช่วยเหลือต่างๆเหมือนอย่างที่เคยๆในยุคกลางศตวรรษที่ 20 เขากลับขายของให้ผู้นำเหล่านั้นราวกับว่า ชาวอุษาคเนย์ไปเที่ยวอเมริกาแบบทัวร์ศูนย์เหรียญก็ไม่ปาน

ตอนที่นายกเหวียนวันฟุกไปเยือนสหรัฐในเดือนพฤษภาคมนั้นเวียดนามเซ็นสัญญาธุรกิจกันมีมูลค่าถึง 8,000 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งคำนวนเป็นการจ้างงานในสหรัฐได้ถึง 23,000 ตำแหน่ง และในนั้นเวียดนามต้องซื้อสินค้าอเมริกันเป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลล่าร์ และเวียดนามก็ได้ชื่อว่า มีสหรัฐเป็นพันธมิตรคานอำนาจกับจีนในปัญหาทะเลจีนใต้ (จริงหรือไม่ก็คอยดูกันต่อไป)

ตอนนายกนาจีปแห่งมาเลเซีย ไปเยือนสหรัฐสองสัปดาห์ก่อนหน้านายกประยุทธ์เขาต้องสัญญาว่ามาเลเซียแอร์ไลน์ซื้อและจะซื้อเครื่องบินโบอิ้งรวมๆแล้วกว่า 50 ลำ เป็นเสมือนของฝากติดไม้ติดมือไปให้ทรัมป์ ผู้ซึ่งก็ไม่ได้ให้อะไรกับผู้นำมาเลย์มากไปกว่าให้ไปเยือนทำเนียบขาวในระหว่างที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังพิจารณาดำเนินคดีอันเกี่ยวเนื่องกับการทุจริตในกองทุน 1MDB อันฉาวโฉ่ของนาจีป

ทรัมป์โทรมาเชิญนายพลของไทยไปเยือนทำเนียบขาว เพราะรู้ว่า คนพวกนี้โหยหาวันชื่นคืนสุขสมัยสงคราม(ทั้งร้อนและเย็น) แน่นอนทรัมป์ต้องการให้ไทยอยู่ในอ้อมแขนสหรัฐต่อไปในฐานะพันธมิตรเก่าแก่ในแบบ treaty ally เพราะนายพลไทยเอาไพ่จีนมาต่อรอง แต่เขาก็รู้กันทั่วโลกแล้วว่า ไทยต้องจ่ายค่าไพ่ใบนั้นจนจะกระเป๋าแห้งแล้ว อีกทั้งสหรัฐก็ไม่ใช่เจ้าบุญทุ่มที่จะเอาเงินมาสปอยทหารไทยได้อีกแล้ว สิ่งที่พวกนายพลไทยต้องทำเพื่อแลกกับความฝันเสมือนจริง (อย่าได้แปลกใจว่าทำไมนายกไทยพูดเรื่องถนนมิตรภาพขึ้นมาในระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำกับนักธุรกิจสหรัฐ เพราะมันคือความฝันของแก) คือช่วยส่งเสริมนโยบาย America First ด้วยการซื้อสินค้าสหรัฐเหมือนคนอื่นๆ

แต่นายพลของไทยทำอะไรน้อยหน้าเพื่อนมิตรในอาเซียนไม่ได้ พวกเขาจึงเลือกซื้อสินค้าตกยุคคือถ่านหินซึ่งทรัมป์เพิ่งประกาศฟื้นฟูการใช้พลังงานฟอสซิลที่สกปรกอันนี้ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ เมื่อเขาถอนตัวจากสนธิสัญญาปารีสที่เป็นสัญญาร่วมมือแก้ปัญหาโลกร้อน

แน่นอนว่าบริษัทเอสซีจีย่อมคิดว่าในทางธุรกิจซื้อของก็ได้ของเป็นธรรมดา แต่การซื้อถ่านหินจากสหรัฐนั้นกระทบต่อระเบียบใหม่ของโลก 2 อย่างคือ ความร่วมมือเรื่องโลกร้อนและแผนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพราะใครๆก็กำลังรณรงค์ให้ซื้อขายกันในกลุ่มให้มากเพื่อทำให้การผนึกประสานของประชาคมอาเซียนเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่ไทยต้องลดการซื้อถ่านหินจากอินโดนีเซียเพื่อไปขนมาจากสหรัฐด้วยข้ออ้างว่าของคุณภาพดีกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นการสัญญาว่าจะปรับดุลการค้ากับสหรัฐก็เป็นการตอกย้ำว่า พันธสัญญาที่อาเซียนเคยมีให้ต่อกันว่าจะค้าขายกันมากขึ้น เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ เพราะต่อไปนี้ไทยจะซื้อของพื้นๆจำพวกหมูเห็ดเป็ดไก่จากสหรัฐมากขึ้นทั้งๆที่ของพวกนี้ก็มีอยู่อย่างล้นเหลือแล้วในภูมิภาคนี้

โลกได้กลับตาลปัตรกันแล้วในเวลานี้ ก่อนหน้านี้เวลาผู้นำจากประเทศด้อยพัฒนาไปเยือนสหรัฐจะต้องกลับมาประกาศว่า ขายสินค้าอะไรได้บ้าง ได้รับความช่วยเหลืออะไรมาบ้าง จะมีนักลงทุนที่ร่ำรวยขนเงินมาลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งในบ้านเราเพียงใด

แต่ในถ้อยแถลงของรัฐบาลไทยนั้น แจ้งให้ประชาชนในประเทศโลกที่สามทราบว่า “ขณะนี้ นักลงทุนไทยมีการลงทุนในสหรัฐฯทั้งหมด 23 บริษัท มูลค่าการลงทุนรวม 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแผนเพิ่มการลงทุนอีกรวม 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะสามารถสร้างงาน (ในสหรัฐ) ได้มากกว่า 8,000 ตำแหน่ง”

ผู้นำสหรัฐไม่พูดสักคำเดียวว่า จะให้อะไรแก่ไทยเป็นการแลกเปลี่ยนกันบ้าง (แม้แต่ในเชิงธุรกิจก็ไม่มี) จึงเป็นเรื่องชวนขันมากที่ไปพูดว่า “นโยบาย America First ของนายโดนัลด์ เจ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สอดคล้องและเชื่อมโยงกับ นโยบาย Thailand 4.0 ของไทย” ความจริงถ้าอยากพูดให้ถูกต้องก็ควรว่า “สหรัฐมาก่อนส่วนไทยถ้ามาเป็น(ลูกน้องอันดับ)ที่สี่ได้ก็นับว่าวาสนาดีไม่น้อย” แต่เกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

ตรงกันข้ามนายพลของไทยกลับรู้สึกว่าเป็นบุญเป็นคุณมากที่สหรัฐยอมขายอาวุธให้ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจ เพราะเคยโพสต์มาหลายครั้งแล้วในที่นี้ว่า สหรัฐขายอาวุธให้ไทยไม่เคยหยุดหย่อน มีเงินก็ซื้อได้ ไม่ต้องหมอบคลานเข้าไปง้องอนอะไร หลายปีมานี่กองทัพไทยซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากจีนมากก็จริง แต่ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพไทยก็ไม่น้อยเหมือนกัน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 960 ล้านดอลล่าร์ ในนั้นมีเฮลิคอปเตอร์ UH60 แบลกฮอร์ค UH 72 ลาโกตา ขีปนาวุธ (ESSM) ปรับปรุงเครื่องบิน F-16 เรือเอนกประสงค์และตอปิโดว์

เรียกได้ว่าขายไม่หยุดเลยก็ว่าได้ แม้แต่ตอนเกิดรัฐประหารแล้วมีการตัดความช่วยทางทหารส่วนหนึ่งและสมัยโอบามาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารอย่างหนัก แต่เชื่อหรือไม่ หลังปี 2014 สหรัฐขายยุทโธปกรณ์ให้ทหารไทยผ่าน Foreign Military Sale (FMS) มีมูลค่ามากถึง 380 ล้านดอลล่าร์ เฉพาะปีนี้ ไทยและสหรัฐทำความตกลงซื้อขายอาวุธกันไปแล้วมูลค่าถึง 133 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ รวมทั้ง ขีปนาวุธ Harpoon Block II และเฮลิคอปเตอร์แบลกฮอร์คที่พูดกันอยู่ในเวลานี้ด้วย ไม่รู้ว่าหมูสยามเอาอะไรมาพูดว่าเขาไม่ขายให้เพราะเป็นรัฐบาลทหาร

สิ่งที่นายพลของไทยได้ในการเยือนสหรัฐคือ มีโอกาสพาภรรยาไปกินข้าวเที่ยงที่ทำเนียบขาว แน่นอนไม่ใช่นายกรัฐมนตรีของไทยทุกคนจะได้โอกาสแบบนี้มาง่ายๆ เพราะมันต้องจ่ายด้วยราคาทางยุทธศาสตร์และผลประโยชน์แห่งชาติมากมาย

ความขุ่นเขืองใจที่โดนรัฐบาลโอบามาวิพากษ์วิจารณ์และหมางเมินถูกระบายออกมาจนหมดเปลือก รวมทั้งเล่ห์เพทุบายเกี่ยวกับแนวทางในการสืบทอดอำนาจก็ได้ประกาศออกไปจนหมดสิ้น ด้วยความเข้าใจผิดว่า สหรัฐนั้นจะต้อนรับเฉพาะแต่ผู้นำที่เป็นประชาธิปไตยหรือมีแผนจะเป็นประชาธิปไตย

ทรัมป์ต่างจากโอบามา เพราะระหว่างการสนทนา เขาไม่สนใจจะถามสักคำว่า ประเทศไทยจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ เขาสนใจว่าไทยจะซื้ออะไรจากสหรัฐมากกว่า การไปประกาศแผนประชาธิปไตยจึงดูเป็นอะไรที่ผิดที่ผิดทางอย่างมาก “การยอมรับ” (recognition) ที่เชื่อว่าได้ติดมือกลับมาจากวอชิงตัน จึงไม่ได้มีความหมายอะไรกับการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะในโลกนี้ไม่มีใครเชื่อว่า คนอย่างทรัมป์จะเป็นนักประชาธิปไตยอยู่แล้ว คนสหรัฐจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่า เขาไม่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้นำสหรัฐด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่จะเป็นผู้นำประชาธิปไตยเลย




Supalak Ganjanakhundee
October 5