วันอาทิตย์, กันยายน 10, 2560

ขี้ไก่แพงหูฉี่-สตง.จุ้นใหญ่ไล่บี้ใช้รถพยาบาลผิดภารกิจ-ย้าย ผอ.สำนักพุทธไปแดนมุสลิม เรื่องอย่างนี้เกิดในยุค คสช. ทั้งนั้น

ไม่ใช่ขี้ไก่นะนี่ โครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ ของกระทรวงเกษตรฯ ที่จริงน่าจะเรียกว่า ขี้ไก่ไม่ฝ่อ เสียละมากกว่า เพราะแทนที่จะเป็นนวรรตกรรมชาวบ้าน การกลับเป็นว่า

“เปิดให้ผู้รับเหมามาประมูลงาน แล้วจัดหาอุปกรณ์มาให้ชาวบ้าน...คณะกรรมการชุมชนและกลุ่มชาวบ้านไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเอง” (ทำยังกับประชารัฐ)

อย่างนี้ไม่ใช่ “ใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน” ซะแล้ว กลายเป็นตามรอยไถแปรของนายทุนเสียแล้วเรียมเอย

เรื่องเกิดที่ อ.ศรีขรภูมิ สุรินทร์ ในโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ มีงบฯ จัดสรรให้ ๒๑ ชุมชน รวม ๒๒ โครงการ เป็นวงเงิน ๕๒.๕ ล้านบาท และเฉพาะที่ตำบลตรึมมีสองโครงการ คือผลิตปุ๋ยอินทรีย์ (ที่บ้านจังเอิด) เกษตรกร ๑ พันคน กับส่งเสริมอาชีพทำนา (ตรึม ๒) เกษตรกร ๙๕๐ คน งบประมาณแห่งละ ๒.๕ ล้านบาท

ปรากฏว่าเจ้าของโครงการเป็นเกษตรอำเภอและนายอำเภอ จัดทำแผนปฏิบัติงาน ระบุค่าใช้จ่ายลงตัวเกลี้ยงสองล้านครึ่ง ที่น่าสนใจอย่างยิ่งตรงค่าวัสดุ เช่นมูลสัตว์ กิโลละ ๔ บาทเท่ากับแกลบ (ดำ) ขี้ไก่ก็โลละ ๔ บาทเหมือนกัน

ส่วนรำ กากน้ำตาล น้ำหมัก กระสอบพล้าสติก ด้ายเย็บกระสอบ ฯลฯ รวมแล้วเกือบ ๑ ล้าน ๒ แสน ๕ หมื่นบาท นอกนั้นเป็นค่าแรงหน่วยละ ๓๐๕ บาท จำนวน ๔ พันกว่าแรง


บันน้ำบัญชีดูดีนะ ลงละเอียด แจงละออ แต่ผู้สันทัดกรณีชี้ว่าราคาขี้ไก่กับแกลบน่ะ ชาวบ้านซื้อได้โลละ ๒ บาทเท่านั้น มิหนำซ้ำ “ขี้ไก่เขาก็ใส่แกลบมาอยู่แล้วยังไปซื้อแกลบมาใส่อีก” ยงยุทธ์ แก้วมณี เกษตรกรคนหนึ่งโวยออนไลน์

“ไอ้โครงการผลิตปุ๋ยใช้เองนี่ยกเลิกไปเถอะนักวิชาการบอกว่าใช้ดีได้ผลกว่าปุ๋ยเคมีแต่พอใช้จริงแม่งลงทุนเยอะกว่าปุ๋ยเคมีอีก” เขาชี้ข้อเท็จจริงจากภูมิปัญญาชาวบ้าน

งามแต่ต้นแต่ใบรวงข้าวแทบไม่มี อย่าลืมว่าพื้นที่แถบนี้มันเป็นดินร่วนปนทรายหรือดินเหนียวปนทราย ควรปรับปรุงดินก่อนด้วยการไถกลบซังแล้วใช้ปุ๋ยพืชสด แล้วเอาปุ๋ยคอกอย่างขี้วัวขี้ควายหรือขี้หมูมาใส่ จะได้ผลดีกว่า

ปุ๋ยเคมีแค่บำรุงให้ออกรวงดี ขี้ไก่ยิ่งใส่นายิ่งทำให้ข้าวงามแต่ต้น นักวิชาการมันนั่งคิดในห้องแอร์แล้วออกงบมากินกัน ไม่เคยลงมาดูพื้นที่จริงหรอก”

นั่นแหละถึงได้เกิดการร้องเรียนกันขึ้นมา นี่ถ้าไม่ใช่ยุคไซเบอร์เอามาปูดโพนทะนากันบนโซเชียลฯ จะมีใครได้รู้ได้เห็นบ้างไหม (หมายถึงคนของ คสช. น่ะ)

อีกเรื่องที่รังสิตนี่เอง เดี๋ยวนี้เป็นศูนย์กลางใหญ่ ไม่ใช่ชานเมืองอย่างแต่ก่อน เกิดลูบหน้าปะจมูกจนนายกเทศมนตรีต้องออกมาบ่นออนไลน์ ว่า สตง. หรือสำนักตรวจเงินแผ่นดิน จุ้นใหญ่

จี้เทศบาลหาว่านำรถพยาบาลติดตั้งเตียงคนไข้ไปใช้โดย “ไม่ใช่อำนาจหน้าที่หรือภารกิจของท้องถิ่น ท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินการได้ เป็นเหตุให้ต้องหยุดให้บริการดังกล่าวกลุ่มนี้ทั้งหมด”


นายธีรวุฒิ กลิ่นกุสม นายกเทศมนตรีชี้แจงว่า รังสิตเป็นเทศบาลนคร มีศูนย์บริการสาธารณสุขของตัวเอง ใช้รถพยาบาลติดเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ด้วยการไปรับไปส่งระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล สตง. ดันสั่งให้หยุดเสียนี่

“ในช่วงที่หยุดมีผลกระทบเยอะมาก สุดท้ายแล้วจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนด้วยการใช้กลไกมูลนิธิส่วนตัวที่มีอยู่ เอางบประมาณมูลนิธิไปซื้อรถเพื่อให้บริการผู้ป่วยไปก่อน แต่รถเราก็ไม่ได้มีเยอะ ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องบริการจัดการภายในและแบกรับภาระงบประมาณเอง”


นายกเทศมนตรีรังสิตเน้นว่าปัญหาเช่นนี้จะเกิดกับเทศบาลอื่นๆ ทั่วประเทศ หากโครงการแพทย์ฉุกเฉินยังไม่ชัดเจน และหน่วยงานอื่นเข้าไปแทรกแซงเกินจำเป็น

ไหนๆ คสช. ก็จะอยู่ต่ออีกอย่างน้อยๆ ปีกว่า อย่างช้าๆ ๒๐ ปีแล้วละก็ น่าจะใส่ใจเรื่องพวกนี้ให้มากขึ้น เรื่องที่เกี่ยวกับท้องถิ่นและชุมชน บุคคลากรทหารที่ส่งไปลงพื้นที่แทนที่จะคอยกร่างคอยข่มไม่ให้นินทา คสช. ถ้าคอยเงี่ยหูฟังเรื่องราวความเดือดร้อน สวัสดิภาพและการทำมาหากิน แล้วเอามารีบหาทางช่วยแก้ไข การยึดอำนาจมาสามปีก็จะไม่ทำให้ประชาชนเสียอารมณ์ และ คสช. เสียของมากไปกว่านี้

ไม่ใช่ว่าต้องการให้ คสช. ใช้อำนาจวิเศษลัดขั้นตอนเข้าไปแก้ปัญหาหยุมหยิม เพราะการทำแบบนั้นทำให้การบริหารงานรัฐกิจยุ่งเหยิงเละเทะไปกันใหญ่ รอแต่จะใช้มาตรา ๔๔ จนกระบวนการปกติเดินไม่ได้ เว้นแต่ว่า คสช. หมายใจจะอยู่ยาวถึงยี่สิบปีจริงๆ เลยใช้อำนาจวิเศษเตะตัดขาให้วิถีปกติง่อยเปลี้ย


เหมือนอย่างที่ทำกับ ผอ. สำนักงานพุทธศาสนาฯ สั่งย้ายเข้ากรุ แล้วส่งต่อลิ่วล้อเตะโด่งไปลงสี่จังหวัดภาคใต้ บิ๊กตุ่นบอกว่าให้ไปช่วยงานปฏิรูปศาสนา เขาถนัดศาสนาพุทธไหงให้ไปลงพื้นที่มุสลิม ทำยังกะวีระธุของพม่า

แม้นทั่นรองฯ ฝ่ายกฎหมายจะออกมาปฏิเสธอย่างไรว่าไม่เหมือนยิ่งลักษณ์ย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี แต่มันก็อีหรอบเดียวกันนั่นแหละ เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ตามถนัดว่า ปฏิรูปศาสนา(เหมือนประชานิยมในชื่อประชารัฐ)

ที่แท้ย้ายฟ้าผ่าเพราะเขาไปแตะเอาเส้นใหญ่ในมหาเถรสมาคมเข้าละสิ เรื่องเงินทอง เงินทอน พุทธพาณิชย์ไม่เข้าใครออกใคร

(ดูที่ ผู้จัดการเขาแจงไว้คงพอเห็นแวว https://mgronline.com/daily/detail/9600000092093)

นายวิษณุ เครืองาม ที่ผู้จัดการอ้างว่า “เป็นที่รับรู้กันว่า มีบทบาทสำคัญในการโยกย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร (พราหมณ์เสน่ห์)” อ้างเหตุว่า “มีคนพยายามที่จะทำให้เกี่ยวเพื่อให้พระทะเลาะกันเอง หรือพระทะเลาะกับรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลรู้หมดแล้วว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังกลไกเหล่านี้

ที่ย้ายเพราะจำเป็นต้องให้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง” สรุปได้ง่ายๆ ว่าย้ายการเมืองนั่นละ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองทั้งเพ