ไม่ใช่ขี้ไก่นะนี่ โครงการ ‘๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อ’ ของกระทรวงเกษตรฯ ที่จริงน่าจะเรียกว่า ‘ขี้ไก่ไม่ฝ่อ’ เสียละมากกว่า เพราะแทนที่จะเป็นนวรรตกรรมชาวบ้าน การกลับเป็นว่า
“เปิดให้ผู้รับเหมามาประมูลงาน
แล้วจัดหาอุปกรณ์มาให้ชาวบ้าน...คณะกรรมการชุมชนและกลุ่มชาวบ้านไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการเอง”
(ทำยังกับประชารัฐ)
อย่างนี้ไม่ใช่ “ใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน”
ซะแล้ว กลายเป็นตามรอยไถแปรของนายทุนเสียแล้วเรียมเอย
เรื่องเกิดที่ อ.ศรีขรภูมิ สุรินทร์
ในโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ มีงบฯ จัดสรรให้ ๒๑ ชุมชน รวม ๒๒ โครงการ เป็นวงเงิน
๕๒.๕ ล้านบาท และเฉพาะที่ตำบลตรึมมีสองโครงการ คือผลิตปุ๋ยอินทรีย์ (ที่บ้านจังเอิด)
เกษตรกร ๑ พันคน กับส่งเสริมอาชีพทำนา (ตรึม ๒) เกษตรกร ๙๕๐ คน งบประมาณแห่งละ ๒.๕
ล้านบาท
ปรากฏว่าเจ้าของโครงการเป็นเกษตรอำเภอและนายอำเภอ
จัดทำแผนปฏิบัติงาน ระบุค่าใช้จ่ายลงตัวเกลี้ยงสองล้านครึ่ง
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งตรงค่าวัสดุ เช่นมูลสัตว์ กิโลละ ๔ บาทเท่ากับแกลบ (ดำ)
ขี้ไก่ก็โลละ ๔ บาทเหมือนกัน
ส่วนรำ กากน้ำตาล น้ำหมัก กระสอบพล้าสติก ด้ายเย็บกระสอบ ฯลฯ
รวมแล้วเกือบ ๑ ล้าน ๒ แสน ๕ หมื่นบาท นอกนั้นเป็นค่าแรงหน่วยละ ๓๐๕ บาท จำนวน ๔
พันกว่าแรง
บันน้ำบัญชีดูดีนะ ลงละเอียด แจงละออ แต่ผู้สันทัดกรณีชี้ว่าราคาขี้ไก่กับแกลบน่ะ
ชาวบ้านซื้อได้โลละ ๒ บาทเท่านั้น มิหนำซ้ำ “ขี้ไก่เขาก็ใส่แกลบมาอยู่แล้วยังไปซื้อแกลบมาใส่อีก”
ยงยุทธ์ แก้วมณี เกษตรกรคนหนึ่งโวยออนไลน์
“ไอ้โครงการผลิตปุ๋ยใช้เองนี่ยกเลิกไปเถอะนักวิชาการบอกว่าใช้ดีได้ผลกว่าปุ๋ยเคมีแต่พอใช้จริงแม่งลงทุนเยอะกว่าปุ๋ยเคมีอีก”
เขาชี้ข้อเท็จจริงจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
งามแต่ต้นแต่ใบรวงข้าวแทบไม่มี อย่าลืมว่าพื้นที่แถบนี้มันเป็นดินร่วนปนทรายหรือดินเหนียวปนทราย
ควรปรับปรุงดินก่อนด้วยการไถกลบซังแล้วใช้ปุ๋ยพืชสด แล้วเอาปุ๋ยคอกอย่างขี้วัวขี้ควายหรือขี้หมูมาใส่
จะได้ผลดีกว่า
ปุ๋ยเคมีแค่บำรุงให้ออกรวงดี ขี้ไก่ยิ่งใส่นายิ่งทำให้ข้าวงามแต่ต้น
นักวิชาการมันนั่งคิดในห้องแอร์แล้วออกงบมากินกัน ไม่เคยลงมาดูพื้นที่จริงหรอก”
นั่นแหละถึงได้เกิดการร้องเรียนกันขึ้นมา นี่ถ้าไม่ใช่ยุคไซเบอร์เอามาปูดโพนทะนากันบนโซเชียลฯ
จะมีใครได้รู้ได้เห็นบ้างไหม (หมายถึงคนของ คสช. น่ะ)
อีกเรื่องที่รังสิตนี่เอง เดี๋ยวนี้เป็นศูนย์กลางใหญ่
ไม่ใช่ชานเมืองอย่างแต่ก่อน เกิดลูบหน้าปะจมูกจนนายกเทศมนตรีต้องออกมาบ่นออนไลน์
ว่า สตง. หรือสำนักตรวจเงินแผ่นดิน ‘จุ้น’ ใหญ่
จี้เทศบาลหาว่านำรถพยาบาลติดตั้งเตียงคนไข้ไปใช้โดย “ไม่ใช่อำนาจหน้าที่หรือภารกิจของท้องถิ่น ท้องถิ่นไม่สามารถดำเนินการได้
เป็นเหตุให้ต้องหยุดให้บริการดังกล่าวกลุ่มนี้ทั้งหมด”
นายธีรวุฒิ
กลิ่นกุสม นายกเทศมนตรีชี้แจงว่า รังสิตเป็นเทศบาลนคร
มีศูนย์บริการสาธารณสุขของตัวเอง ใช้รถพยาบาลติดเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
ด้วยการไปรับไปส่งระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล สตง. ดันสั่งให้หยุดเสียนี่
“ในช่วงที่หยุดมีผลกระทบเยอะมาก
สุดท้ายแล้วจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนด้วยการใช้กลไกมูลนิธิส่วนตัวที่มีอยู่
เอางบประมาณมูลนิธิไปซื้อรถเพื่อให้บริการผู้ป่วยไปก่อน แต่รถเราก็ไม่ได้มีเยอะ
ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องบริการจัดการภายในและแบกรับภาระงบประมาณเอง”
นายกเทศมนตรีรังสิตเน้นว่าปัญหาเช่นนี้จะเกิดกับเทศบาลอื่นๆ
ทั่วประเทศ หากโครงการแพทย์ฉุกเฉินยังไม่ชัดเจน
และหน่วยงานอื่นเข้าไปแทรกแซงเกินจำเป็น
ไหนๆ คสช. ก็จะอยู่ต่ออีกอย่างน้อยๆ ปีกว่า อย่างช้าๆ ๒๐ ปีแล้วละก็
น่าจะใส่ใจเรื่องพวกนี้ให้มากขึ้น เรื่องที่เกี่ยวกับท้องถิ่นและชุมชน
บุคคลากรทหารที่ส่งไปลงพื้นที่แทนที่จะคอยกร่างคอยข่มไม่ให้นินทา คสช.
ถ้าคอยเงี่ยหูฟังเรื่องราวความเดือดร้อน สวัสดิภาพและการทำมาหากิน แล้วเอามารีบหาทางช่วยแก้ไข
การยึดอำนาจมาสามปีก็จะไม่ทำให้ประชาชนเสียอารมณ์ และ คสช. เสียของมากไปกว่านี้
ไม่ใช่ว่าต้องการให้ คสช.
ใช้อำนาจวิเศษลัดขั้นตอนเข้าไปแก้ปัญหาหยุมหยิม เพราะการทำแบบนั้นทำให้การบริหารงานรัฐกิจยุ่งเหยิงเละเทะไปกันใหญ่
รอแต่จะใช้มาตรา ๔๔ จนกระบวนการปกติเดินไม่ได้ เว้นแต่ว่า คสช. หมายใจจะอยู่ยาวถึงยี่สิบปีจริงๆ
เลยใช้อำนาจวิเศษเตะตัดขาให้วิถีปกติง่อยเปลี้ย
เหมือนอย่างที่ทำกับ ผอ. สำนักงานพุทธศาสนาฯ
สั่งย้ายเข้ากรุ แล้วส่งต่อลิ่วล้อเตะโด่งไปลงสี่จังหวัดภาคใต้
บิ๊กตุ่นบอกว่าให้ไปช่วยงานปฏิรูปศาสนา เขาถนัดศาสนาพุทธไหงให้ไปลงพื้นที่มุสลิม
ทำยังกะวีระธุของพม่า
แม้นทั่นรองฯ
ฝ่ายกฎหมายจะออกมาปฏิเสธอย่างไรว่าไม่เหมือนยิ่งลักษณ์ย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี
แต่มันก็อีหรอบเดียวกันนั่นแหละ เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ตามถนัดว่า ‘ปฏิรูปศาสนา’
(เหมือนประชานิยมในชื่อประชารัฐ)
ที่แท้ย้ายฟ้าผ่าเพราะเขาไปแตะเอาเส้นใหญ่ในมหาเถรสมาคมเข้าละสิ
เรื่องเงินทอง เงินทอน พุทธพาณิชย์ไม่เข้าใครออกใคร
(ดูที่ ‘ผู้จัดการ’ เขาแจงไว้คงพอเห็นแวว
https://mgronline.com/daily/detail/9600000092093)
นายวิษณุ เครืองาม ที่ผู้จัดการอ้างว่า “เป็นที่รับรู้กันว่า มีบทบาทสำคัญในการโยกย้าย พ.ต.ท.พงศ์พร
(พราหมณ์เสน่ห์)” อ้างเหตุว่า “มีคนพยายามที่จะทำให้เกี่ยวเพื่อให้พระทะเลาะกันเอง
หรือพระทะเลาะกับรัฐบาล
ซึ่งรัฐบาลรู้หมดแล้วว่าใครคือคนที่อยู่เบื้องหลังกลไกเหล่านี้
ที่ย้ายเพราะจำเป็นต้องให้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง”
สรุปได้ง่ายๆ ว่าย้ายการเมืองนั่นละ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองทั้งเพ