วันศุกร์, กันยายน 22, 2560

ม็อบไม่ใส่เส้นโดนสยบให้ครบทุกข้างเสียบ้าง แต่ว่า 'ภู่นัมพ์ไฮเทค ๔.๐' ก็ยังต้องโดนเพ่งเล็งแน่ๆ

พอเจอเข้าบ้าง ๕๒๒ ล้าน สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อเผด็จการทางทหาร ทวงบุญคุณ ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วไหมล่ะ

“ผมภูมิใจกับที่ได้ทำหน้าที่ หากไม่มีวันนั้นก็คงไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้”

จากโคว้ต @WakeUpNewsTH 7.00 น. 22 กย. ที่ว่าเป็นคำของหนึ่งใน ๑๓ แกนนำ พธม. ในคดีร่วมกันยึดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปี ๒๕๕๑ เพื่อกดดันรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยทักษิณ ชินวัตร

คดีนี้เป็นความเสียหายทางแพ่งต่อการท่าอากาศยาน (ที่ กษิต ภิรมย์ บอกว่า “อาหารดี ดนตรีเพราะ” นั่นละ)ธนาคารแห่งประเทศไทยวิเคราะห์ประเมิน (ในปีต่อมา) เป็นมูลค่า ๒.๙ แสนล้านบาท ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินไว้แล้ว มาถึงตอนนี้จะหมดอายุความพวกจำเลยพยายามยื่นฎีกาแต่ไม่ทัน

โดยศาลฎีกายกคำร้องของจำเลยแล้วสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายต่อ “บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นเงิน ๕๒๒,๑๖๐,๙๔๗.๓๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี (นับเวลาตั้งแต่วันที่ ๓ ธ.ค. ๕๑ เป็นต้นไป) จนกว่าจะชำระเสร็จ”

ยังมีคดีกรรมเดียวกัน ต่างข้อหาอีก ๒ คดี คือ “คดีที่บริษัท วิทยุการบิน ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า ๑๐๓ ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยรอยละ ๗.๕ ต่อปี คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง”

กับคดีอาญา “ข้อหาร่วมกันก่อการร้ายฯ จากการปิดสนามบิน ที่มี พล.ต.จำลอง นายสนธิ พร้อมด้วยมวลชนรวม ๙๖ คน ศาลอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีนัดครั้งต่อไปในวันที่ ๙ มี.ค. ๒๕๖๑ หลังการสืบพยานนัดแรกเกิดขึ้นในเดือน ต.ค. ๒๕๕๙”



เป็นที่น่าแปลกใจกันอยู่เหมือนกันว่าไฉน ม้อบมีเส้น กลายเป็น ม็อบเกาเหลา (ไม่ใส่เส้น - ขอยืมคำของ Thanapol Eawsakul เอามาใช้หน่อย) ไปได้

ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นเพราะประยุทธ์และ คสช. เตรียมผันตัวเองจาก ตาอยู่ ฉวยโอกาส ไปเป็นกาฝากรากงอก พยายามจะทำให้ดูสมจริงว่าเป็นผู้ห้ามทัพปราบยุคเข็ญ เลยต้องสยบให้ครบทุกข้างเสียบ้าง หลังจากกลยุทธ์เขียนรัฐธรรมนูญใหม่หมกอำนาจให้อยู่ยาว ด้วยบทวิเศษ นายกฯ คนนอกและยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี เริ่มผลิดอกออกพวง

จะเห็นได้ว่าล่าสุดนี่ ประยุทธ์พยายามทำตัวเป็นภู่นัมพ์ ๔.๐ ไปพูดที่อิมแพ้คเมืองทองเรื่อง ดิจิทัล บิ๊กแบง 2017’ เป็นคุ้งเป็นแคว “เปลี่ยนโฉมประเทศด้วยดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่น” งี้ “ใช้ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด...เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ” งั้น

ใช้ศัพท์แสงเก๋ไก๋ “ฟรีวายฟาย” เอย “พ้อยออฟเซล” อะ “อี-คอมเมิร์ช” ก็มี (ไม่ใช่ ไอ้นะ) “สม้าร์ทฟาร์เมอร์” ก็มา แล้วยัง “อินเตอร์เน็ตออฟติงส์” ซะอีก ประมาณว่าฟังแล้ววิงเวียนพอดูละ ไม่เชื่อไปอ่านที่ ประชาไท เขาถอดความไว้แล้วกัน


คิดจะสร้างนักรบไซเบอร์เป็นพันๆ คน ไว้ต่อกรกับชาวโลกน่ะ ศักยภาพของบุคคลากรด้านนี้อาจพอถูไถไปได้ แต่ ‘directions’ หรือทิศทางในการดำเนินงานถ้ายังถอยหลังอย่างเผด็จการอยู่ไม่คลายละก็ ป่วยการ ชาวโลกเขาจับได้วันยันค่ำ

ดูแต่ด้านชั้นเชิงการคลัง ที่ว่าไทยเจ๋งนักหนา รัฐบาลทหารถึงได้จับจ่ายมือเติบ ทุ่มหายละลายแม่น้ำไปไม่รู้เท่าไหร่แล้วนั่น ก็ยังตีอกชกลมอยู่ได้ว่าคลังไทยนั้นมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เหลือหลาย แต่นี่มีคนเขาออกมาเผยไต๋ ว่าไตแลนเดีย เนี่ยนักปั่นเงินตัวยง

บทความของกรรมการสมัชชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นายแบร๊ด ดับเบิ้ลยู เซ็ทเซอร์ ตีพิมพ์เมื่อวานนี้ (๒๑ กันยา) เอ่ยถึงกรรมวิธีของประเทศในเอเซียที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นจีน ไต้หวัน เกาหลี และสิงคโปร์ ปั่นค่าของเงินตราสกุลของตนให้ดูอ่อนเปลี้ยกว่าเป็นจริงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์

กระทรวงการคลังสหรัฐกำหนดมาตรฐานในสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศในเอเซียไว้ ๓ ประการ เพื่อวินิจฉัยว่าประเทศนั้นๆ มีพฤติกรรม “อัดฉีดขยายการปฏิสัมพัทธ์สองฝ่าย” หรืออีกนัยหนึ่งที่เข้าใจง่ายก็คือ การ ปั่นค่า ได้แก่

“ ๑.การแทรกแซง (โดยทุ่มซื้อ) ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ เป็นจำนวนเกินกว่า ๒ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ๒.บัญชีสะพัดเกินดุลกว่า ๓ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี และ ๓. ดุลสินค้าระหว่างสองประเทศได้เปรียบสหรัฐเกิน ๒ หมื่นล้านดอลลาร์”


เหล่านี้นายเซ็ทเซอร์อ้างว่าประเทศที่เข้าข่ายปั่นค่าเงินจนเกินไปมากกว่าใครๆ คือ ไทยแลนด์ซึ่งกระทำการตามสองข้อแรกแล้วอย่างชัดแจ้ง หลังจากที่ลดค่าเงินบาทเมื่อปี ๒๕๕๘ ทำให้การค้าเกินดุลสูงกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ผู้เขียนบอกว่านี่ยิ่งกว่าเยอรมนีและเกาหลีในเวลานี้เสียอีก

ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรานั้นไทยเข้าไปแทรกแซงในอัตราสุงกว่า ๕ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ในช่วง ๑๒ เดือนที่ผ่านมา ทำให้เงินทุนสำรองของไทยแข็งขึ้นตลอดเดือนกรกฎาและสิงหาคม และเชื่อว่าจะไม่หยุดแค่นี้ ไตรมาสที่สามของปีนี้จะยังคงปั่นต่อไป


ยังไม่หมด เกี่ยวกับมาตรฐานความพอใจเป็นคู่ค้าของสหรัฐ ในข้อสาม เรื่องมูลภัณฑ์สินค้าเกินดุลต้องไม่สูงกว่า ๒ หมื่นล้านดอลลาร์ ประเทศไทยเฉียดเข้าไปแล้ว ขณะนี้อยู่ที่ ๑ หมื่น ๙ พันล้านดอลลาร์ ขึ้นไตรมาสใหม่ปีหน้า คงต้องโดนเพ่งเล็งแน่ๆ

เช่นนี้ ด้วยความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คงต้องบอกว่า ชั่งหัวมัน อเมริกันไม่ใช่พ่อง แต่อ๊ะ คิดอีกที ก็ที่ประยุทธ์พยายามทำตัวเป็นภู่นัมพ์ไฮเทค ๔.๐ นี่มิใช่อยากค้ากับอเมริกาและตะวันตกหรอกหรือ

ที่อยากไปคุยกับทรั้มพ์ รอแล้วรออีกเป็นแม่สายบัว ก็ด้วยเป้าหมายตรงนั้นใช่ไหมล่ะ หลังๆ นี่ถึงได้พล่ามนักพล่ามหนาว่า ไอ (ไม่มีไม้โท) ก็ประชาธิปไตยนะเฟ้ย แค่ไม่ต้องเลือกตั้งเท่านั้น (อย่างที่ระดับบิ๊กในกระทรวงต่างประเทศอังกฤษเขาแกล้งแซว อจ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นั่นไง)

นั่นละจะพาลหมดหวังกับอเมริกาเหมือนที่กำลังย่ำแย่อยู่กับประชาคมยุโรปอีกนะลุงตูบ อย่างเรื่องประมงที่เป็นจุดแข็งการค้าข้ามทวีปไทย-อียู ที่บังเอิญมาแป้กในช่วงสองสามปีมานี้ด้วยปัญหาแรงงานทาส บวกกับอียูเขาตั้งแง่ว่ารัฐบาลเผด็จการทหารคือต้นเหตุของคนในเครื่องแบบเป็นมาเฟียเสียเอง เจรจาหลายรอบไม่ลงล้อคเสียที

แล้วนี่สมาคมประมงไทยมา “เดินหน้าต่อต้านอียู” กันใหญ่อีก แทนที่จะต่อต้านรัฐประหาร ปิดตลาดเหมือนพันธมิตรฯ ปิดสนามบินงั้นเหรอ


นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมฯ อ้างเหตุผลวกวนว่า อียูตั้งแง่มากเกินไปด้วยเงื่อนไขการเมืองระหว่างประเทศ “หากเอาอียูเป็นตัวตั้งก็ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน” เป็นเงื่อนไขให้รังเกียจรัฐบาลทหาร

หนุนกันสุดๆ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมว่ารัฐบาลทหารไทยเนี่ย คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติจัดอยู่ในพวกเดียวกับกลุ่มประเทศ “วิปลาส สวนทางโดยสิ้นเชิงกับกฎบัตรและสปิริตของสหประชาชาติ” ด้วยการข่มขู่ คุกคาม และแก้เผ็ดต่อประชากรของตนที่ “ร่วมมือกับยูเอ็นในประเด็นสิทธิมนุษยชน”

“นักกิจกรรมที่ถูกรังแก มีทั้งต้องออกจากงาน บุกบ้าน ห้ามออกนอกประเทศ อายัดบัญชีธนาคาร หลายกรณีมีการกักขังตามอำเภอใจ ทรมาน ลวนลามทางเพศ หรือกระทั่งข่มขืน”


นายมงคลยังบอกด้วยว่าประเทศไทยไม่มีความจำเป็นจะต้องส่งออกอาหารทะเลไปอียู เวลานี้สมาคมประมงพร้อมจะใส่เสื้อดำประท้วงอียู ที่ทำให้ “ภาคประมงได้รับความเดือดร้อนอย่างสาหัสมานานสองปี”

อ้าว ที่สาหัสไม่ใช่เพราะอียูเข้มงวดการนำเข้าอาหารทะเลไทยหรอกหรือ ก็ถ้าไม่จำเป็นต้องขายอียูแล้วมันเดือดร้อนได้อย่างไร

หรือว่าที่เดือดร้อนนั่นรัฐบาลทหารตะหากที่เสียหน้าว่าขาดน้ำยา ประธานประมงเลยต้องออกมาชวนกันกู้หน้าให้ คสช.