เป็นที่ใส่ใจกันมากขณะนี้ในหมู่ ‘คนรักทักษิณ’
ต่อข่าวการรอมชอม ถอนฟ้องอาจารย์มหิดลที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยหมิ่นประมาทเมื่อเดือนพฤศจิกา
๕๖
สื่อหลายแหล่งรายงานต้องกันว่า รศ. ดร.วรพรรณ เรืองผกา
กล่าวคำขอโทษความว่า “ข้าพเจ้าได้ปราศรัยเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ณ
บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง โดยกล่าวพาดพิงถึง พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร และภายหลังจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ได้มายื่นฟ้องข้าพเจ้าเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.๓๘๘/๒๕๕๗ ศาลอาญา
ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ได้รับความเสียหาย
แต่อาจมีคำพูดที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงไปบ้าง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่สบายใจต่อ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น
ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขออภัยและขอบคุณ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มา ณ โอกาสนี้”
มติชนรายงานเพิ่มเติมว่าคำชี้แจงของนายวิญญัติ ชาติมนตรี
ทนายความของทักษิณว่าคดีนี้ “ฝ่ายจำเลยพยายามที่จะขอเจรจากับทางโจทก์
นายทักษิณได้ให้ดำริมาว่า หากมีการขออภัยอย่างเป็นทางการ และนำคำขออภัยสู่สาธารณชน
ก็ยินดีที่จะให้อภัย” Bless your heart Mr. Thaksin Shinawatra.
ทนายวิญญัติเผยเพิ่มเติมด้วยว่าการประนีประนอมยอมความนี้
ทางศาลอาญาเป็นผู้จัดให้มีการประนอมข้อพิพาท
ทั้งอธิบดีและผู้พิพากษาหัวหน้าคณะลงมาร่วมกระบวนการแข็งขันและพร้อมหน้า
แต่สาธารณะบางส่วนก็ยังไม่วายตั้งแง่สงสัยว่า ก็ “เมื่อนายทักษิณเป็นผู้หนีคดีไปแล้ว
เหตุใดจึงยังมาฟ้องคดีกับบุคคลอื่น”
ทนายตอบว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลที่จะต้องปกป้องตามกฎหมาย “ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ยังมีสิทธินั้นอยู่...ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร”
ส่วนแฟนคลับชินวัตรจำนวนไม่น้อยที่ย้อนไปดูคลิปการอภิปรายของอาจารย์มหิดลคนนี้แล้ว
ต่างพากันวิจารณ์ว่า การกระทำผิดของจำเลยไม่สมกับเกียรติที่ได้รับการให้อภัย คอมเม้นต์ส่วนมากลงตรงกันว่า
“ไม่สมกับเป็นอาจารย์” ก็ตาม
หรือแม้แต่ถ้อยคำที่กล่าวขอโทษ
ไม่ได้ส่อถึงความรู้สึกเสียใจ หรือ ‘remorse’ มากไปกว่าข้อความระบุให้ต้องตามกฎหมาย
เช่น “คลาดเคลื่อน ต่อความเป็นจริง” “ก่อให้เกิดความ...ไม่สบายใจ”
อย่างไรก็ดีมีผู้พยายามชี้จุดที่ทำให้จำเลยต้อง
“พยายามขอเจรจา” Pipob Udomittipong shared Kengkij Kitirianglarp's post. แล้วระบุข้อความคำพูดของนางวรพรรณจากคลิปในนาฑีที่
๗ ว่า
“ดิฉันนถูกตัดงบวิจัยค่ะ (พูดซ้ำ) งบวิจัยสำคัญอย่างไร
ถ้าประเทศไหนไม่ส่งเสริมเรื่อง research and development ประเทศนั้นไม่มีวันเจริญญญญญญ” นี้ผิดพลาดอย่างแรง ไม่ใช่เพียง ‘คลาดเคลื่อน’
โดยพิภพชี้ให้เห็นว่า “เพราะข้อมูลจาก
World
Bank งบ R&D เทียบเป็นสัดส่วนของ GDP
ของไทยเพิ่มมาตลอดจนถึงปี 2014 คงเป่านกหวีดเพลินไปหน่อยนะ”
นั่นละ การกระทำผิดเมื่อประนอมยอมความเสียแล้ว
ความผิดพลาดก็อาจเปลี่ยนไปเหลือเพียง ‘พลั้งไป’ ได้
หากแต่การเผยแพร่ความผิดพลาดนั้น ผ่านทางโทรทัศน์บลูสกาย ก็คงจะ ‘แล้วกันไป’ ด้วย ผู้เสียหายคงไม่ระคายมากนัก
ถือเสียว่าเอาความดีมากลบมิด
แต่ถ้าเป็นความผิดพลาดที่ก่อความเสียหายต่อชีวิตบุคคล และความลำบากยากไร้ของญาติพี่น้องและครอบครัวผู้ตายล่ะ
จะประนอมข้อพิพาทได้บ้างไหม
มัลลิกา
บุญมีตระกูล มหาสุข หัวหอกอันแหลมคมทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามของพรรคประชาธิปัตย์
เพิ่งจะลงข้อความอันเป็นเท็จ เมื่อ September 18
at 10:00pm นี่เอง โดยอ้าง Siriwanna Jill -
New รายงานว่า
“หลักฐานชัดเจน ว่าพยาบาลกมลเกด และเพื่อน ไม่ได้ตายพราะทหาร
แต่ตายเพราะพวกเสื้อแดงด้วยกัน ฆ่าเอาศพ มีหลักฐาน โดย 6 ศพเสียชีวิต อยู่ในช่วงตะวันตกดิน
ศพทั้งหมดมีการชันสูตรแล้วพบว่า ถูกยิงจากวิถีกระสุน ในระนาบเดียวกัน
มิใช่มุมสูงจากสกายวอล์ค หรือบริเวณรางรถไฟฟ้า BTS...
เรื่องนี้มีการยืนยัน ด้วยคำรับสารภาพจาก น.ส. ณัฎฐธิดา
หรือ แหวน พยาบาลอาสาในทีม น.ส.กมนเกด โดยรับสารภาพว่า ได้เป็นพยานเท็จให้เสื้อแดงมาตลอด
4 ปี
เพราะได้รับผลประโยชน์จ้างวานในคดีการเสียชีวิต 6 ศพ
ภายในวัดปทุมวนาราม เมื่อถูกจับกุมข้อหาจ้างวานวางระเบิดและหมิ่นเบื้องสูง เมื่อ
มี.ค 58 จึงสารภาพหมดเปลือก 6 ศพวัดปทุม
ชายชุดดำ นปช.ได้ยิงแนวราบใส่น้องเกดและเสื้อแดงตาย
ผลการตรวจ DNA จากกองเลือดภายในวัดของคุณหญิงหมอพรทิพย์
ซึ่งพยานระบุว่าเป็นจุดที่ น.ส.กมนเกด เสียชีวิต พบว่านอกจาก DNA จะไม่ตรงกับของ น.ส.กมนเกด แล้ว ยังไม่ตรงกับศพใด ๆ ใน 6 ศพ และคุณหญิงหมอ ยืนยันว่าคนยิงมาจากข้างล่าง คือโจรก่อการร้ายชุดดำ นปช.
ไม่ใช่ทหาร”
ข้อความเหล่านี้เชื่อได้ว่าเป็นความเท็จทั้งสิ้น
อย่างน้อยก็มีคนนำรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖
มาแย้งในทางตรงข้าม
“ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและญาติผู้ตายทั้งหกคน
อันประกอบด้วยประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ แล้ว
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ตายที่ 1 และที่ 3-6 ถึงแก่ความตายเพราะถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง
ขนาด .223 หรือ 5.56 มม.
จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 ค่ายเอราวัณ จ.ลพบุรี ที่ประจำการอยู่บนรถไฟฟ้า
และผู้ตายที่ 2 ถึงแก่ความตายเพราะถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง
ขนาด .223 หรือ 5.56 มม.
จากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่
31 รักษาพระองค์ ที่ประจำการอยู่บนถนนพระรามที่ 1”
มีหลายคนที่นางมัลลิกาลงข้อความพาดพิงให้เสียหาย
ทั้งครอบครัวของ น.ส.กมนเกด (ผู้ตาย) น.ส.ณัฏฐธิดา (ที่ถูกอ้างว่าเป็นพยานให้ปากคำ)
นปช. (ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘ชายชุดดำ’) และคุณหญิงหมอพรทิพย์
(โรจนสุนันท์) ที่นางติ่งอ้างว่าชันสูตรศพไม่พบดีเอ็นเอ
คนเหล่านี้บ้างไม่สามารถที่จะมาฟ้องร้อง
(อย่างน้อยหวังผลแค่ให้ขอขมายอมรับผิด) เช่นเดียวกับคดีของคุณทักษิณ
บ้างผะอืดผะอมไม่รู้จะฟ้องได้อย่างไร บ้างอาจทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ดิบได้ดีแล้ว ‘ชั่งมัน’
จึงเป็นเรื่องต้องเศร้า และอัดอั้นอย่างยิ่ง
สำหรับผู้เสียหายที่จำต้องกล้ำกลืนความขื่นขมเข้าไปภายในอีกครั้ง
ทนดูทนฟังความสามหาวก้าวร้าว และโป้ปดบิดเบือน
ที่กำลังกลับมาฟูเฟื่องกระเบื้องลอยอีกครั้งขณะนี้
ครั้นจะโทษ (ให้หายเครียด) ว่าเนี่ยมันเป็นอย่างนี้เพราะ ‘ยิ่งลักษณ์หนี’ ก็แหม ไม่อยากเหมาเอาอย่างนั้น รักเธอยิ่งกว่าอื่นใด
นายกฯ ในดวงใจทั้งพี่ทั้งน้อง อะ