เรื่องแถไม่แพ้ พิภพ ธงไชย* ไม่พ้น สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ ทั่นรองฯ ดันอยู่นั่นแล้ว (ด้วยปาก) จะให้เศรษฐกิจไทย ‘ขาขึ้น’ ให้ได้ ก็เลยทำให้เจ้านายพลอยเพ้อพกไปด้วย (มันกลับกันไง
กับภาษิตไทย ‘นายว่าขี้ข้าพลอย’)
สมแล้วที่ พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต
รมว.พลังงานของเพื่อไทยเหน็บเสียเจ็บ “ขาขึ้นก่ายหน้าผาก” เหรอ
อันเนื่องมาแต่สมคิดไปพูดบนโพเดี้ยมเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยอนาคตสดใสนั่นละ
คุยว่าเดี๋ยวนี้อะไรๆ ดีขึ้นหมดทุกอย่าง ท่องเที่ยวเอย การจับจ่ายเอย (อันนี้แกไม่ได้บอกว่ามันไปหนักที่จับจ่ายนอกประเทศ
เลยไม่ได้แม้แต่สะกิดให้กระแสในประเทศกระเตื้อง)
“นายสมคิดบอกว่า ตอนนี้ขาขึ้นแล้ว และอีก ๒ ปีจะดีกว่านี้อีก”
(จากข่าวว้อยซ์ทีวี https://news.voicetv.co.th/business/526243.html)
เสี่ยแดงเขาเลยบอกให้ไปถามปลัดคลังดูหน่อยปะไร นายสมชัย
สัจจพงษ์ อุตส่าห์ช่วยแก้เขินโดยชี้แจงว่า ไอ้ที่อ้างการส่งออกเพิ่มนั่นเป็นเพียงแค่
๑๐ บริษัทยักษ์ๆ (ขวัญใจประชารัฐทั้งหลาย) เท่านั้นที่ “ได้ประโยชน์” นอกนั้นพวกปลาซิวปลาสร้อย
‘เอสเอ็มอี’ มีแต่เขือ เหลือแต่โคลน
ยิ่งเรื่องจีดีพี ข้ออ้างแก้ผ้า (เอาหน้ารอด) ที่ว่า ‘อาจจะ’ เพิ่มขึ้นเป็น ๓.๖ ถึง ๓.๘ เปอร์เซ็นต์ นั้นแม้ว่าทำได้จริงก็ยังถือว่าต่ำมาก
ในมาตรฐานเพื่อนบ้านกลุ่มอาเซียนของไทยจัดว่าต่ำสุด
ถ้าจะโตก็โตในฐานเศรษฐกิจที่ต่ำมากจนต้องพะว้าพะวังคอยลุ้น ว่าอีก ๖
เดือนข้างหน้าจะออกหมู่หรือจ่า
‘พะว้าพะวัง’ ยังพอทำเนา
นี่พี่เค้าลักลั่น อีหลักอีเหลื่อ จับทิศทางไม่ค่อยจะถูก
เหมือนว่าจะกัดกันเองภายใน ดูจากบทวิจารณ์ของหนังสือพิมพ์ ‘ฐานเศรษฐกิจ’
flagship-เรือธงของสปริงนิวส์เค้า เรื่องสงครามระหว่างแบ๊งค์ชาติกับคลัง
“มา ณ วันนี้ เมื่อเกิดการแข็งค่าของเงินบาท จาก ๓๕.๘๔ เป็น ๓๓.๑๐ คิดเป็น ๘% (เมื่อคิดจากช่วงต้นเดือนมกราคม)
ถือว่าแข็งกว่าค่าเงินในภูมิภาคนี้ที่ประเทศอื่นๆ มีการแข็งค่าเพียง ๔-๕%
ทำให้ปลัดกระทรวงการคลังสมชัย สัจจพงษ์ ถึงกับร้อนเล่นบทก้าวล่วงนโยบายการเงินอย่างเปิดเผย
ด้วยการเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้เครื่องมือทางการเงิน
คือลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
จนถูก วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธปท.สวนหมัดด้วยการขอให้ใช้นโยบายการคลัง
(บ้าง) เช่นให้รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรเร่งคืนหนี้ต่างประเทศ
ด้วยการมาซื้อเงินตราต่างประเทศออกไปชำระหนี้เพื่อลดสำรองเงินตราต่างประเทศ
ก็จะช่วยให้ลดภาวะเงินบาทแข็งค่าลงได้บ้าง”
อธิบายให้เห็นชัดอย่างรากหญ้า
ต้องเปรียบกับธุรกิจซาเล้ง ประมาณนี้
อาแปะสมัยหนุ่มๆ
ทำงาน รปภ. พอก่อนเกษียณอยากเป็นซีอีโอ เลยไปยึดรถสามล้อขายของจุกจิกจากเจ๊เปียที่ชอบมาจอดข้างโรงงานปลากระป๋อง
แล้วให้ไอ้ตี๋กับอีหมวยช่วยกันขาย
ไอ้ตี๋เคยเป็นลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยว
อยากเป็นผู้จัดการเถ้าแก่ไม่เปิดโอกาสเลยย้ายค่ายมาอยู่กับอาแปะ
ส่วนอีหมวยไม่เคยค้าขายได้แต่รับจ้างเลี้ยงลูกอาซิ้ม
อาแปะเห็นรูปทรงดีเลยตั้งให้เป็นพีอาร์ของซาเล้ง
ตานี้หลังจากเจ้าของโรงงานม่องเท่งไปแล้ว
ลูกชายไม่เอาไหนกินแต่ของเก่ากิจการทำท่าจะเจ๊ง พวกลูกจ้างมีแต่เบี้ยน้อยหอยน้อย กิจการรถซาเล้งของอาแปะที่ยืมเงินของลูกชายเจ้าของโรงงานมาปรับปรุงกิจการ
ซื้อเครื่องขยายเสียงใหม่ไม้ค์สีทอง
ไม้ตะพดหัวเลี่ยมเงินไว้ตีหมา กับไฟราวกะพริบประดับหลังคา แล้วก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น
เพราะเวลาคนงานที่เคยเป็นลูกค้าประจำถามหาของใหม่ๆ ที่ซาเล้งโรงงานอื่นเขามี แบบๆ
ว่าตราชูงี้ อาแปะดันตะเพิดลูกค้าเสียนี่ ใครที่ต่อล้อต่อเถียงก็ตบกะโหลกซะอีก
ทำกันมาสามปีกว่าจะเจ๊งมิเจ๊งแหล่
ไอ้ตี๋คิดจะโดดหนีอีกก็ไม่รู้จะไปไหน เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าพวกเยอะ
ล้วนตั้งแง่รังเกียจคนที่หักหลัง เลยปักหลักทำให้ซาเล้งดูดีด้วยการแนะเจ้าของลงทุนขายไข่ปลาคาเวียร์งี้
ซ้ำมี ‘อิงลิชเบรคฟัส’ อาหารเช้าแบบอังกฤษให้คนงานตื่นตา แต่ไม่มีใครกล้าซื้อ
ฝ่ายอีหมวยบอกว่าลื้อทำอย่างนี้ไม่ไหว
ต้นทุนสูงขายได้น้อย
จะให้ดีต้องไปตามเก็บพวกคนงานลูกค้าซี้แหงกับลื้อที่เซ็นกันเอาไว้บานเบอะคืนมาให้ได้หมดสิวะ
จึงจะพยุงกิจการไว้ได้
เถียงกันไปเถียงกันมา
ต่างก็บอกปีหน้าเห็นผล แต่คาเวียร์ยังขายไม่ออก แฮมกับชี้สเริ่มเน่าเสีย
ไอ้พวกที่เซ็นไว้ก็พากันหายหน้า แต่อาแปะหารู้ไม่ มัวแต่ปลาบปลื้มดีใจเจ้าของใหม่โรงงานปลากระป๋องให้สัมปทานจอดขายหน้าโรงงานต่ออีก
๕ ปี
นี่ก็กำลังเจรจาขอทำสัญญายาว
๒๐ ปี จบแล้วให้สิทธิต่อได้อีกครั้งละ ๕ ปี ท่าทางเจ้าของใหม่จะเอาด้วย
เพราะอาแปะบอกว่าจะเอาสินค้าใหม่มาขายท่านต้องชอบ ‘ไส้กรอกเยอรมัน’ ไง