วันอังคาร, กันยายน 19, 2560

เป็นครั้งแรกและประวัติการณ์ ผู้ต้องหาคดีความผิด ม.๑๑๒ ประกาศไม่ยอมรับกระบวนการศาลไทย

เป็นครั้งแรกและประวัติการณ์ ผู้ต้องหาคดีความผิด ม.๑๑๒ ประกาศไม่ยอมรับกระบวนการศาลไทย “มันเป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องกฎหมาย”

ทนาย ประเวศ ประภานุกูล ผู้ต้องหาหลายมาตรา รวม ๑๓ กรรม แจ้งเหตุผลไว้ในคำร้องแถลงการณ์ของเขาต่อศาล เมื่อถูกนำตัวไปเพื่อตรวจพยานหลักฐานต่อหน้าผู้พิพากษาศาลอาญา รัชดา เมื่อเช้าวันที่ ๑๘ กันยายน หลังจากที่อัยการยื่นฟ้องไว้เมื่อ ๒๑ กรกฎาคม ว่า

ในเมื่อคดีนี้ฟ้องร้องเขาฐานละเมิดต่อสถาบันกษัตริย์ แต่ “ศาลไทยประกาศตนว่ากระทำในพระปรมาภิไธยศาลจึงมีส่วนได้เสียในการพิจารณาคดี ทำให้ขาดความเป็นกลางและขาดความชอบธรรมในการพิจารณาคดี”

ทนายประเวศเป็นทนายในคดีสิทธิมนุษยชนและคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ที่รู้จักกันดี ซึ่งให้การช่วยเหลือว่าความให้กับผู้ต้องหาคดีเหล่านี้ แม้บ่อยครั้งไม่รับค่าจ้างค่าบริการ เมื่อผู้ต้องหาเป็นชาวบ้านที่อัตคัตและขาดความรอบรู้ในตัวบทกฎหมาย

เขาถูกทหารไปจับกุมตัวโดยไม่มีหมายจับ-หมายค้น ไม่แจ้งข้อหา เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๖๐ ถูกนำตัวไปควบคุมไว้พร้อมกับผู้ต้องหาอื่นอีก ๕ คน ในค่ายทหาร มทบ.๑๑ โดยผู้ต้องหาบางรายถูกปิดตา คลุมหัว จนกระทั่งวันที่ ๓ พฤษภาคม จึงมีการแจ้งข้อหาแล้วขออำนาจศาลฝากขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ถูกฟ้องในคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ จากการนำข้อความเฟชบุ๊คของ Somsak Jeamteerasakul เกี่ยวกับหมุดคณะราษฎรที่หายไปมาทำซ้ำและแสดงความคิดเห็นเสริม

สำหรับทนายประเวศและผู้ต้องหาอีกหนึ่งนาย นามว่าดนัย (สงวนนามสกุล) โดนเพิ่มข้อหายุยงปั่นป่วน ตามมาตรา ๑๑๖ กับความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา ๑๔ ศาลปฏิเสธการปล่อยตัวชั่วคราว ๗ ผัด ต้องถูกจองจำมาตลอด ๕ เดือน

 
ในคำร้องของทนายประเวศซึ่งเขียนด้วยลายมือตนเองจากห้องขัง ระบุว่า “ขอประกาศไม่ยอมรับกระบวนการพิจารณาคดีนี้ของศาลไทย โดยศาลอาญา

และข้าพเจ้าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีนี้ โดยไม่ให้การ ไม่แต่งทนายความเข้าดำเนินคดี ไม่ถามค้านพยานโจทก์ ไม่นำสืบพยานจำเลย ไม่ลงชื่อในเอกสารใดๆ ของศาล”

คำร้องฉบับที่สองของเขากล่าวถึงการที่ศาลไม่อนุญาตให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยข้ออ้างที่ว่าศาล “พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กรณีเป็นการกระทำที่ร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์” นั้นเป็นการแสดงออกถึงความคิดเห็นของศาลอาญา ว่าเขาได้กระทำความผิดตามฟ้องไปแล้ว

“ทั้งที่ยังไม่ได้มีการสืบสวนหรือตัดสินว่าผิดจริงหรือไม่ เป็นการพิพากษาล่วงหน้าก่อนการฟ้องคดีด้วยซ้ำ”


ทนายประเวศกล่าวถึงการตัดสินใจไม่ยอมรับอำนาจศาลครั้งนี้ว่า “ผมเคยเขียนถึงวิธีต่อสู้คดี ๑๑๒ แบบนี้ในเฟสบุ๊คมาก่อนแล้ว แต่ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นไปได้ ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ก็เท่ากับที่พูดไปนั้นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ

ผมไม่ได้อยากอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อต้องอยู่แล้วก็ต้องใช้โอกาสนี้ให้ถึงที่สุด เพราะโทษที่เยอะขนาดนี้ อายุผมก็เท่านี้คงได้ตายในคุก...

ที่คิดแบบนี้มันมาจากประสบการณ์ที่ทำคดีให้ดา (ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) และดูแนวทางของคดีอื่นๆ ที่ผ่านมา ผมไม่มีความหวังเลยว่าจะสามารถต่อสู้คดีลักษณะนี้ได้เต็มที่และบนหลักการโดยแท้จริง”

สำนักข่าวประชาไทรายงานว่า มีผู้ไปเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งนี้ราวสิบกว่าคน ล้วนเป็นผุ้ใส่ใจต่อคดี ม.๑๑๒ เป็นพิเศษ เช่นตัวแทนองค์กรสิทธิมนุษยชน นักข่าว ญาติใกล้ชิด เพื่อนสนิท รวมทั้งอดีตผู้ต้องหาคดีสิทธิมนุษยชนที่ทนายประเวศเคยอนุเคราะห์

ทนายน้อย อานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เขียนบนเฟชบุ๊คว่า “องค์กรตุลาการเป็นองค์กรเดียวที่ไม่ค่อยมีคนกล้าแตะต้อง นี่อาจจะเป็นอิฐก้อนแรกของการเปลี่ยนแปลงกระมัง ด้วยความเคารพทนายประเวศครับ”

ทนายอู๊ดวิบูลย์ บุญภัทรรักษา โพสต์บนหน้าเฟชบุ๊คของเขาเช่นกัน “เคารพการตัดสินใจ ทนายประเวศครับ” ขณะที่คดี ๑๑๒ ของลูกชายเขา ไผ่ ดาวดิน ตัดสินใจไม่อุทธรณ์คำพิพากษาความผิดฐานทำซ้ำบทความบีบีซีไทยเรื่องพระราชประวัติรัชกาลที่ ๑๐

“ถ้าผมมีทางเลือกและศาลอุทธรณ์ยึดมั่นในความยุติธรรม ปราศจากอคติและพิจารณาคดีตามหลักฐานและเหตุผล ผมก็ไม่อยากให้คดีของลูกชายถึงที่สุดเพียงแค่ศาลชั้นต้น แต่ช่องทางที่จะไปในขั้นตอนต่อไปนั้นมันไม่มี ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะทำ”


นายวิบูลย์กล่าวด้วยว่า “การขออภัยโทษก็เป็นสิทธิของจำเลยเพราะไม่มีช่องทางอื่นในการช่วยเหลือลูกชาย ส่วนจะได้รับการอภัยโทษหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่ถ้าคดีไม่ถึงที่สุดก็ขออภัยโทษไม่ได้ และอาจทำให้ลูกชายถูกจำคุกนานขึ้น”

บรรพต ไชยสา อดีตลูกความคนหนึ่ง (ซึ่งเหตุแห่งคดีทำให้เขาเสียตาไปข้างหนึ่ง) ไปฟังการพิจารณาคดีที่ศาลอาญาด้วย เผยใจว่า “ทนายประเวศช่วยคดี ของเขา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพียงแค่จ่ายค่ารถและเลี้ยงอาหารทนายเท่านั้น...ผมอยากมาให้กำลังใจเพราะทนายประเวศมีบุญคุณกับผม”

มุทิตา เชื้อชั่ง ผู้สื่อข่าวสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะคดี ๑๑๒ ที่ทำให้เธอได้รับรางวัล เคทเว็บบ์ ของสำนักข่าวเอเอฟพี ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี ๒๕๕๘ เล่าบรรยากาศวันประวัติการณ์ครั้งนี้ไว้ (พร้อมบันทึกภาพการ์ตูน)


“มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดเรื่องหนึ่ง อดีตลูกความสองคนที่ต้องโทษ ๑๑๒ ออกมาจากเรือนจำไม่นานนัก ต่างก็มาให้กำลังใจอดีตทนายของพวกเขา

อดีตนักโทษมาในชุดธรรมดา เสื้อสีสดใส ส่วนอดีตทนายมาในชุดนักโทษสีน้ำตาล ข้างหลังเขียน ‘3’ ด้วยปากกาไวท์บอร์ด อันหมายถึงแดน ๓ ในเรือนจำ ขาใส่โซ่ข้อเท้า มือก็ใส่กุญแจล็อกไว้กับนักโทษอีกคน ผมสั้นเกรียนแซมด้วยผมหงอกเต็มไปหมด รูปร่างที่ผอมอยู่แล้วยิ่งผอมซูบกว่าเดิม

อดีตนักโทษมองเขาด้วยสายตาห่วงใย คนหนึ่งเข้าไปทักทายให้กำลังใจ อีกคนหนึ่งบอกว่าจะสู้แบบนี้จริงหรือ เปลี่ยนใจไหม น่าตลกตรงที่มันเป็นประโยคที่สองคนนี้สลับกันพูดเมื่อหลายปีก่อน แต่คำตอบนั้นตรงกันคือ สู้...

เห็นแววตาเศร้าๆ ในบางขณะเพราะเขารู้ว่าเป็นไปได้มากที่เรื่องของเขาจะเงียบหายไปกับสายลม และไม่ว่าจะทางไหนเขาก็หมดหวังจะได้ใช้ชีวิตข้างนอกอีกครั้งก่อนตาย 

ยกเว้นมีปาฏิหารย์ซึ่งก็น่าจะไม่มี #18กย60 #ประเวศ