พวกลิ่วล้อ คสช. ลากตั้งนั่งทรงเกียรติหน้าสลอนในสภา
เวลานี้เห็นทีจะครั่นเนื้อครั่นตัวกันบ้าง หลังจากที่อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเขียนเอกสารอำลาชีวิตราชการ
ยืนยันว่าในสภานิติบัญญัติ “ไม่ว่ามาจากไหนหรือมีที่มาอย่างไร
มีโอกาสเป็นคนขี้โกงได้พอๆ กัน”
ประธาน สนช. สภานิติบัญญัติที่ทหารตั้งเข้าไปทำการยกมือเป็นฝักถั่วรองรับกฎหมายที่คณะรัฐประหารต้องการออกมาใช้บังคับ
นายพรเพชร วิชิตชลชัย รีบปัดสวะพ้นตัวทันทีที่ผู้สื่อข่าวสะกิดเรื่องเอกสาร ‘สัจธรรมชีวิตราชการ’ ของนายจเร พันธุ์เปรื่อง
เรื่องขี้โกงที่นายจเรอ้างถึง คงไม่ใช่กล่าวลอยๆ หากดูรายละเอียดของการที่เขาถูกย้ายเข้าประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในเดือนตุลาคม
๒๕๕๘ พร้อมกับ “ข้อกล่าวหา” ในกระแสข่าวตอนนั้นเกี่ยวกับ “ความล่าช้าในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ย่านเกียกกาย”
ทั้งที่ข้อกล่าวหาอันทำให้เขาถูกตั้งกรรมการสอบสวน
ถึงที่สุดปรากฏว่า “ผมไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใด โดยคณะกรรมการสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาใดๆ
กับผม” เหตุเพราะ “ข้อกล่าวหาทั้งหลายที่ผมได้รับนั้น เป็นเพียงการใส่สี ตีไข่
เพื่อให้ผมพ้นจากตำแหน่ง เพื่อประโยชน์ของคนบางคน”
แต่ความต้องการของผู้ “ใส่สีตีไข่” ก็ได้สมประโยชน์ไปแล้วเมื่อเขาถูกย้ายไปเข้ากรุ
ไม่เหมือนกับ ผอ.สำนักพุทธ ที่เพิ่งถูกย้ายออกย้ายเข้ากลับไปกลับมา
จนทำให้เห็นว่าการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ม.๔๔ ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.นั้นมีแต่ลักลั่น
หามาตรฐานความแน่นอนในหลักนิติธรรมไม่ได้
คงจะเป็นที่ข้อความตอนหนึ่งในเอกสารของนายจเรละมัง ทำให้จุกคอหอยประธาน
สนช. ไม่ขอตอบโต้ “ขอให้เห็นใจตนบ้าง” ดังสัจธรรมข้อสองของอดีตเลขาฯ สภา ระบุว่า
“การเป็นข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน
และไม่ยอมก้มหัวให้คนขี้โกงนั้น ในที่สุดก็จะไปไม่รอด
เพราะคนโกงมีความสามารถในการใส่สีตีไข่ได้มากกว่า”
นายจเรไม่ได้ ‘โอด’ ว่าการขยันอดทนต่อการงานของเขา
“๓ ปีไม่เคยเที่ยว เดินห้าง หลับยังฝันถึงงาน แต่ยอมเพราะทำเพื่อแผ่นดิน”
อย่างคนบางคนอ้าง (https://www.matichon.co.th/news/675719)
หรือว่า “๓ ปีปิดทีวีเที่ยวเดินห้างทุกคืนวันศุกร์
หลับหูยังแว่วเสียงคืนความสุขจนตาค้าง ทำไงได้ไม่มีทางเลือก” อย่างที่ อจ.เกษียร
เตชะพีระ ย้อน
แน่นอนเชียวละว่าผลแห่งการเข้ามาใช้อำนาจอย่างปราศจากการรับผิดชอบ
ก่อความเสียหายแก่กิจการสาธารณะมากมาย กระทบต่อชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย เพียงเพราะบรรดาลิ่วล้อ
คสช.ไม่กี่ร้อยกี่พันคน ได้รับการปกป้องไม่ต้องรับผิดโดยอำนาจรัฐประหาร
คนเหล่านี้โน้มที่จะทำอะไรโดยอำเภอใจ ไม่คิดรอบคอบให้รอบข้าง
สักแต่ว่าจะผุดไอเดียอะไรก็ทำไป ผิดแล้วค่อยแก้ทีหลัง ในเมื่อตัวหัวได้แต่ “นอนหลับฝันถึงงาน”
มานานสามปี ป่านนี้ยังไม่รู้วิธีการทำอย่างไรให้สัมฤทธิ์ผล
ความลักลั่นเกิดอย่างสม่ำเสมอในข่ายงานลิ่วล้อ คสช.
ดังตัวอย่างล่าสุดเรื่องการออกกฎหมายลูก หรือ พรป. ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญ
ที่จะเข้าสู่การอนุมัติของ สนช. ๒๘ กันยายนนี้
นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ. ลิ่วล้อร่างกฎหมายของ คสช.
พูดถึงมิติใหม่ เปิดให้ประชาชนร้องเรียนโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ “เมื่อไปฟ้องหน่วยงานเกี่ยวข้องแล้วไม่มีการตอบรับ
หรือครบกำหนด” ไปแล้ว
อ้างว่าเพื่อให้ศาล (ยุติธรรม) ไม่ต้องรับภาระมากเกินไป
แถมด้วยถ้าร้องเรียนศาลใดเมื่อตัดสินแล้วให้เป็นที่สุด ร้องเรียนต่อคณะกรรมการตุลาการอีกไม่ได้
นี่คงเอาโมเดลศาลทหารมาใช้
หนักกว่านั้นมีมาตรการใหม่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลวิเศษ ประชาชนแตะต้องไม่ได้
“ถือว่าของเราไปไกลกว่าของต่างประเทศ” นายอุดมคุยอวดเก่ง ที่แท้ไกลจนลงเหว
เกินกว่าหลักยุติธรรมสากลยึดถือกัน
นั่นคือไม่เพียงมาตรการคุ้มครองในพื้นที่ศาล “แต่ของเราป้องกันถึงการวิพากษ์วิจารณ์
ที่กระทบต่อการทำหน้าที่” ยกตัวอย่างเสียด้วยว่า “เช่นการเขียนบทความสร้างกระแส”
นี่เจาะจงก้าวก่ายเสรีภาพสื่อโดยตรงเลยเชียวละ
ที่น่าขำก็ตรงเมื่อพวกองค์กรลิ่วล้อเหล่านี้เหยียบตาปลากันเองจนร้องเอ๋ง
กรณี พรป. เซ็ทซีโร่ กสม.
ร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกรรมการสิทธิมนุษยชนกำหนดให้เปลี่ยนใหม่หมดทั้งชุดทันทีเมื่อประกาศใช้
ทำให้นายวัส ติงสมิตร ประธาน กสม.ร้อนอาสน์ รีบเขียนจดหมายฟ้องลุงตูบ ว่าการเซ็ทซีโร่
กสม. “ไม่ถูกต้องทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย”
เพราะว่าเอาหลักการสากล (หลักการปารีส) มาใช้
อ้างด้วยว่าคณะกรรมการชุดปัจจุบันได้มาตามหลักการครบถ้วนกระบวนการคณะรัฐประหาร
สรรหากันตามคำสั่ง คสช. ทุกประการ
ข้อสำคัญสุดยอด “ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง”
การใช้ พรป. มาสั่งให้ กสม.พ้นจากตำแหน่งทันทีทั้งหมดอย่างนี้ “ขัดต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์”
โอวเพิ่งรู้ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนไทยนี่เป็นหน่วยงานต่างพระเนตรพระกรรณ
สังกัดสำนักพระราชวังเหรอนั่น