ภาพจากมติชน
จากมิตรสหายท่านหนึ่ง
"ด้วยความที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ดิฉันจึงมีมิตรสหายเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกันเยอะแยะ
ดิฉันพบว่า มิตรสหายอาจารย์หลายท่านที่เคยรังเกียจการรัฐประหาร ได้เข้าไปร่วมวงกินเค้กงบไทยแลนด์ 4.0 ในรูปของโครงการวิจัยบ้างล่ะ ในรูปของคณะกรรมการของอะไรสักอย่างบ้างล่ะ ..แม้แต่ตัวดิฉันเองก็ถูกกระซิบชักชวนให้ไปร่วมด้วยในโครงการเล็กๆโครงการหนึ่งในถิ่นภูธร แต่ดิฉันก็ตอบไปตรงๆว่า ไม่อยากมีชื่อว่าเคยสังฆกรรมใดๆ กับนโยบายของรัฐบาลนี้
ดิฉันได้ถามพวกเขาไปตรงๆ ทำไมพวกเขาจึงทำแบบนี้ ไปรับงานทำไม?
พวกเขาให้เหตุผลฟังไพเราะว่า
"ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกนั้นมันโง่ มันไม่รู้เรื่อง ทำอะไรไม่เป็น ขืนปล่อยให้ทำไปตามยถากรรมประเทศก็ฉิบหายกันพอดี ยิ่งไม่เข้าไปทำมันจะยิ่งเละ สู้เข้าไปดีกว่า อย่างน้อยมีนักวิชาการเข้าไปทำ จะได้ประคับประคองประเทศไว้ได้ ตอนนี้ต้องช่วยกันประคองประเทศก่อนไม่ให้ล่มจม เรื่องอุดมการณ์ไว้ที่หลัง"
....ดิฉันฟังแล้วถอนใจ....
....รู้สึกสงสารคนตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องสู้เพื่อประชาธิปไตยไปเองตามลำพัง เพราะถูกฝูงปัญญาชนชั้นนำทอดทิ้งกลางทาง....
ทุ่งลาเวนเดอร์ไปทางไหนคะ? โปรดบอกดิฉันด้วย ดิฉันจะไปวิ่งเล่น"
.................................
(คอมเมนต์ต่อ)
"แปลกใจที่นักวิชาการลิเบอรัล ไม่เข้มแข็งเหมือนพวกสายไม่เอาประชาธิปไตย เพราะพวกนั้นเขาชัดเจนว่าไม่ร่วมมือไม่สังฆกรรม เขาต้องการให้เกิด failed state เพื่อไล่ระบอบแม้ว-ปู ให้สิ้นซาก ...ย้ำว่า ถึงทำให้เกิด failed state พวกเขายังทำเลย"
ที่มา FB
Atukkit Sawangsuk
พวกสังฆกรรมรัฐประหารมักจะอ้าง อ.ป๋วย ทั้งที่ อ.ป๋วยได้รับยกย่องจากการวิพากษ์ถนอม และถูกกระทำจนต้องลี้ภัย
ที่ว่า อ.ป๋วยรับคำเชิญเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ สร้างรากฐานเศรษฐกิจไทย นั่นแค่ช่วงต้นเท่านั้น ถ้ามีบทบาทแค่นั้น คนรุ่นหลังก็คงไม่ยกย่อง อ.ป๋วยเช่นทุกวันนี้
ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะตัดสินว่าการที่ท่านตอบรับคำเชิญ ถูกหรือผิด เพราะบริบทต่างกัน เราเอาสถานการณ์วันนี้ไปตัดสิน 60 ปีที่แล้วไม่ได้ (และอย่าอ้าง 60 ปีที่แล้วมาใช้กับวันนี้) แต่ที่ยกย่องกันว่า อ.ป๋วยสร้างแบงก์ชาติเป็นอิสระ นั่นคือท่านขอหลักประกันเป็นอิสระจากอำนาจเผด็จการ ทหารมายุ่มย่ามไม่ได้ แล้วท่านก็ไม่เคยไปรับตำแหน่งอื่นใดเพื่อลาภยศ รับเป็นอธิการบดี มธ.ก็เลือกรับเงินเดือนอธิการที่ต่ำกว่าผู้ว่าแบงก์ชาติด้วยซ้ำ
ถ้าจะทำให้ได้อย่าง อ.ป๋วย เมริงก็เป็นอธิการบดีมหาลัยที่ขอพื้นที่เสรีภาพ มีอิสระทางความคิด ทางวิชาการ ห้ามทหารมายุ่งสิวะ
อีกทัศนะที่ว่าเมื่อเผด็จการทหารอยู่นาน สืบทอดอำนาจนาน ไม่อยากเห็นประเทศล่มจม ต้องเข้าไปช่วยวางรากฐานเศรษฐกิจ ให้มีความสามารถแข่งขัน ประชาชนอยู่ดีกินดีมีการศึกษา วันหน้าจะได้กลับมาเป็นพลังประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง
อันนี้สามานย์มากนะ ต่อให้ไม่คิดว่าเข้าไปรับผลประโยชน์อะไรก็เถอะ เพราะสังคมแบบนี้ยิ่งพยุงไปยิ่งต่ำตม โดยบอกไม่ได้ว่าจะถึงกาลวิบัติแบบไหน มันจะเป็นระบอบที่ยิ่งไร้หลัก ยิ่งใช้อำนาจ ยิ่งเลอะเทอะ ขณะที่ยิ่งครอบงำและสร้างภาพ ยิ่งประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจจะยิ่งเหลื่อมล้ำ และยิ่งไม่มีพื้นที่ให้ประชาชน ซึ่งจะถูกทำให้เป็นสลิ่ม AI
คืออันที่จริง ในโลกของความเป็นจริง แม้เราไม่ร่วมมือไม่สังฆกรรม มันก็มีด้านที่จำต้องสังฆกรรม เช่นผมต้องทำมาหากิน ต้องจ่ายภาษีให้ซื้อเรือดำน้ำ คนทำธุรกิจก็จำต้องลงทุน ขยายกิจการ คนเป็นข้าราชการยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งทำงานดี ช่วยเหลือประชาชนตามโครงการรัฐบาล ยิ่งไปเสริมระบอบรัฐทหาร แต่จะให้ทำไง
ฉะนั้นการตีกรอบเรื่องไม่ร่วมมือ ไม่สังฆกรรม มันก็ขึ้นกับสถานะแต่ละคน แบบหลังรัฐประหารเคยมีเพื่อนยกตัวอย่าง ทหารมันเข้าไปคุมมวลชนทุกหมู่บ้าน แล้วมันมาถามแกนนำเสื้อแดง จะปราบยาเสพย์ติดให้ ช่วยชี้ช่องหน่อยว่าใครขายยาบ้าง เป็นคุณจะร่วมมือไหม หรือเป็นแกนนำชุมชน เอาโครงการแบบ 9101 มาให้ ทำอย่างเข้มแข็งได้ผลไม่ทุจริต รัฐบาลก็ได้หน้า แต่ประชาชนได้ประโยชน์
เรื่องนี้มันเป็นกรณีๆ ไป แต่เป็นอะไรที่ใช้จิตสำนึกได้ ประชาชนก็เห็นได้
แต่ถ้าบอกว่าจะเข้าไปช่วยพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน ทั้งที่พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อทำลาย ตั้งแต่ศาลลูกรัง ม็อบขับไล่ ทำลายทุกวิถีทาง จนเอาชนะได้ แล้วค่อยมานับหนึ่งใหม่ แล้วชวนไปร่วมมือกัน ยังร่วมมือกับเขา นี่ไม่รู้จะพูดไง
Atukkit Sawangsuk