ถ้าอ่าน ‘ระหว่างบรรทัด’ รายงานธนาคารโลกเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยล่าสุดเมื่อวันที่
๒๔ สิงหาคม สำหรับไพร่ฟ้าหน้าใส มวลชนคนรากหญ้าแล้ว อีกหนึ่งปีถึง ๕ ปีข้างหน้า ‘น่าห่วง’ เสียมากกว่าปลื้มปีรติ
แน่นอน ทีม คสช. จะต้องโหมข่าวนี้ตลอดเดือนกันยายนกระทั่งไปถึงราชพิธีพระบรมศพรัชกาลที่
๙ เดือนหน้า หลังกลับจากร่วมประชุม BRICS ที่เมืองเซี่ยเหม่น มณฑลฟูเจี้ยน
ดังข่าวว่ามีการลงนามความร่วมมือไทย-จีน ๔ ฉบับ อันหลักใหญ่อยู่ที่ข้อตกลงจ้างจีนสร้างระบบรถไฟในภาคอีสานผ่านโคราช
๒๕๓ กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อไปถึงคุนหมิงและมาบตาพุด มูลค่า ๕,๒๐๐ ล้านบาท ทำให้ดูว่าเป็น
“การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การพัฒนาของทั้งสองประเทศ
เพื่อให้ประเทศและประชาชนตามแนวเส้นทางสายไหมได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง”
อีกนัยหนึ่งการที่บิ๊กตูบยกขบวน
(พร้อมด้วยชุดไทยจิตรลดา ‘เป๊ะ’ อันเลิศหล้าของ รศ. ดร.นราพร จันทร์โอชา ที่วาสนา นาน่วม ประโคมไว้)
ไปจีนครั้งนี้ ตั้งใจแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม
ในการพัฒนา ‘ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก’ หรือ
EEC ของไทย
นอกเหนือไปจากข้อตกลงความร่วมมือทางทะเลระหว่างไทยกับจีนในเส้นทางสายไหมนั้นด้วย
ที่ซึ่งจะเป็นการทำตัวเองให้อยู่ในกรอบอิทธิพลทางทะเลของจีนโดยใช่เหตุหรือไม่
เป็นเรื่องต้องจับตาดูถึงผลกระทบที่จะตามมา บนสภาพการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่จีนมีปัญหากับหลายประเทศเกี่ยวกับน่านน้ำทางทะเล
ไม่ว่าจะเป็นเวียตนามหรือฟิลิปปินส์ ซึ่งสหรัฐพร้อมจะเข้าจัดการหากสถานการณ์ร้อนแรงขึ้น
ท่าทีของทีม คสช.
ดูกระเหี้ยนกระหือรือกับการทำตัวใกล้ชิดมหามิตรใหม่ครั้งนี้มาก
ทั้งที่มีนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ในหมู่ประเทศอาเซียน ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เตือนว่าจีนจะไม่ให้ความปราณีกับไทย และ “ใช้อิทธิพลกดดันอย่างไม่ยั้งมือ” แน่ๆ
เมื่อถึงคราวที่จะรุก
(http://www.news1005.fm/view/59ae0169e3f8e466be9b1127 และ http://www.bangkokpost.com/news/politics/1318307/ties-with-beijing-cast-into-doubt)
หากเรามองไปที่การเจรจาว่าจ้างจีนสร้างทางรถไฟ
ซึ่ง คสช. ทำมาเป็นเวลายาวนานเริ่มจากคาดว่าจีนยินดีเข้ามาลงทุน ไปสู่จีนให้กู้กลับไปจ้างจีน
มาลงเอยที่ไทยจ่ายเองและจีนได้สิทธิแทบทุกอย่าง อะไรที่ระเบียบกฎหมายไม่อำนวย
ประยุทธ์ก็ใช้ ม.๔๔ จัดการเปิดทางสะดวกให้หมด
ศาสตราจารย์ประภัสสร์กล่าวถึงกรณีที่ประยุทธ์ไปร่วมประชุมบริ๊คส์ครั้งนี้
แต่ไม่ได้ไปร่วมประชุม ๓๐ ผู้นำในเส้นทางสายไหม (Belt and Road) เมื่อเดือนพฤษภาคม หากมีเพียงรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. ๕ คนรวมทั้งด้านเทคโนโลยี่ดิจิทัลไปแทน
บ่งบอกบางอย่างว่าจีนไม่ได้ให้ความสำคัญกับไทยมากเท่ากับที่ คสช. พยายามชี้ให้เห็น
ภาพที่จีนใช้อิทธิพลรุกคืบ บีบคั้นในอนาคต
เมื่อไทยกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีนไปแล้วละก็ การจะสลัดบ่วงเมื่อวันนั้นมาถึงจะยากยิ่งจนน้ำตาเช็ดหัวเข่า
จนต้องอาวรว่ากลับไปอยู่ภายใต้อิทธิพลตะวันตกเสียยังดีกว่า เพราะอย่างน้อยๆ
เรายังพูดกันในภาษาประชาธิปไตยได้
นี่แหละคือภาพที่เป็นได้ภายใต้ยุทธศาสตร์
๒๐ ปีของ คสช. อันส่งผลให้ “คนของ คสช. จะมีอำนาจกำหนดทิศทางยุทธศาสตร์ชาติและกำกับควบคุมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
อย่างน้อยสองรัฐบาล” หากพิจารณาตามที่ ‘ประชาไท’ คำนวณ
สมการสืบทอดอำนาจของ คสช. ผ่านจำนวนบุคคลที่
คสช.ตั้งเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์
แม้ว่าขณะนี้จะมีรายงานครึ่งปีของธนาคารโลกระบุว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ถึง
๓.๖ เปอร์เซ็นต์ ยังดีกว่า ๓ ถ้วน หรือ ๓.๓ ขณะนี้ และไม่มีทางไปถึง ๔ หรือ ๕
ในช่วงสองรัฐบาลข้างหน้าภายใต้กำกับของ คสช. อย่างแน่นอน
(http://www.worldbank.org/th/news/press-release/2017/08/24/economic-growth-in-thailand-gains-momentum)
ดังเกริ่นไว้แต่ต้นว่าระหว่างบรรทัดของข้อมูลใหม่ธนาคารโลก ว่าการเติบโตภาคเกษตรกรรมอยู่ที่ร้อยละ
๗.๗ และการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๖.๖ อันเป็นภาพที่ดีขึ้นและสดสวยสำหรับบิ๊กตูบจะเล่นบทพระเอกต่อไปอีกสัก
๕ ปี ๘ ปี
ทว่าการเติบโตต่อไปทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลให้เป็นหน้าเป็นตาของเศรษฐกิจไทยโดยหลักใหญ่
ในเมื่อข้อมูลที่ใช้สรุปรายงานะนาคารโลกดังกล่าว เป็นข้อมูลเชิงนโยบายทั้งนั้น
จะสวยหรูอย่างไรก็ยังต้องการตัวเลขจริงของข้อมูลดิบรองรับ
ในเมื่อข้อมูลดิบจากพื้นที่บอกว่า “แบ๊งค์จุกอก หนี้เน่าปูดไม่หยุด”
งี้ หรือ “ตัวเลขการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเป็น ๑.๒ เปอร์เซ็นต์” (๔.๗ แสนคน) เทียบกับไม่ถึง
๑ เปอร์เซ็นต์เมื่อตอน คสช. ยึดอำนาจ
ไม่ทำให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนได้เลยว่า
ถ้าหลังเลือกตั้งแล้วพรรคประชิปัตย์ได้ร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคศิษย์เก่า สนช. โดยมีบิ๊กตูบผู้ซึ่งขยันขันแข็งทำการบ้านบนเครื่องบินระหว่างเดินทางไปประชุมบริ๊คส์
(ดังที่วาสนาประโคมอีกน่ะแหละ)
แล้วจะสามารถรักษาอัตราความเจริญ ๓.๖ เกษตรกรรมโต ๗.๗
อุตสาหกรรม (ส่งออก) ขึ้น ๖.๖ ไว้ได้
แค่ดูจากที่ทำมา ๓ ปี ล้วงคลังออกมาถลุงจากวันที่ยึดประเทศชาติมาจากยิ่งลักษณ์
ตอนนั้นเงินคงคลังเกือบ ๕ แสนล้าน ตอนนี้เหลือแค่ ๗ หมื่นกว่าล้าน
ที่ได้มามีอะไร ไม้ค์ทองคำ อ่างบัวทำเนียบ หรือไฟฟ้า น้ำประปา
‘ผักชีโรยหน้า’ ที่ชาวบ้าน สปก.สระแก้วได้ใช้วันเดียวนั่นฤ