วันศุกร์, กันยายน 01, 2560

ผิดทำนองคลองธรรมาประชาธิปไตย จึงไปลงล็อคที่ “บ้านหลังเก่ามันผุพังเกินแก้ไข ต้องทุบทิ้งและสร้างใหม่” เสียละมัง

ไม่ว่าคุณจะชอบมุข เนื้อร้อง และทำนองเพลงในเอ็มวีใหม่ บันไดสีแดง ของฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ แค่ไหนหรือไม่ มันก็ได้ถูกรัฐบาล คสช. สั่งระงับการเผยแพร่ไปแล้ว

ไม่ว่าคุณจะได้ยินคนของรัฐบาลกรอกหูว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว ส่งออกเพิ่ม การท่องเที่ยวฟู หุ้นพุ่งปรี๊ดเกินพันหกเชื่อว่าต้องไปถึงหลัก ๑,๗๕๐ ได้แน่ๆ แถมปีหน้าจีดีพีจะรุ่งทะลวงถึง ๔-๕ เปอร์เซ็นต์โน่นแล้ว

แต่เมื่อนักข่าวโพสต์ทูเดย์ลงพื้นที่ตามตลาดสด ร้านปลีก แผงลอย มอไซค์ ตุ๊กตุ๊ก สอบถามความเป็นอยู่และค้าขาย พบแต่ชาวบ้าน จนกระจาย ถ้วนหน้า กับธุรกิจข้างทาง เจ๊งกระเจิง ถ้วนทั่ว

มิหนำซ้ำด้านอารมณ์ความรู้สึกรวมหมู่ของประชากรส่วนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในแวดวงของ เสียงข้างมาก สมัยที่รัฐชาติยังไม่ยกเลิกเลือกตั้ง เต็มไปด้วยอาการอึดอัดขัดข้อง บ้างสิ้นหวัง บ้างเคียดแค้น คุกรุ่นอยู่กับบรรยากาศอันขาด สมานฉันท์ อย่างสิ้นเชิง

นี่คือสภาพสังคมที่เต็มไปด้วย ขื่อแปผู้ใช้กฎหมายสร้างผลงานได้ดียิ่งในทั้งสองทางที่ตรงข้ามกัน โหดเหี้ยมสำหรับคนฝ่ายหนึ่ง ขณะที่กรุณาปราณีเหลือล้นกับคนอีกฝ่าย เป็นมาตรฐานทางตุลาการที่ไม่เหมือนใคร จนคนภายนอก กะลาแลนด์ ๔.๐ให้ชื่อว่า ระบบอยุติธรรม

ลองย้อนรอยไปดูกันว่าสิ่งที่อ้างถึงข้างต้นเหล่านี้มีอะไรบ้าง

เมื่อวานนี้ (๓๑ สิงหา) สองผู้ต้องหาใช้อำนาจสั่งการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา ๕๓ หลุดคดีจากศาลฎีกาอย่างง่ายดาย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าไม่อยู่ในขอบข่ายที่ศาลอาญาจะเป็นผู้พิจารณาคดี เลยยกฟ้อง

ส่วนความผิดฐานที่เป็นผู้สั่งฆ่าด้วยอาวุธและกระสุนจริง จนมีคนตายกว่า ๙๐ ราย ซึ่งในจำนวนผู้ตายที่ศพไม่สูญหาย มีหลักฐานตำแหน่งบาดแผลชัดเจน ๔๙ ราย กระสุนเข้าที่ศีรษะมากที่สุด ๒๐ ราย ช่วงอกรองลงมา ๑๕ ราย นอกนั้นเข้าที่ลำคอ ลำตัวและแขนขา แสดงว่าเกิดจากฝีมือสไน้เปอร์นั้น

ปปช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระรับผิดชอบจัดการกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กลับชี้มูลไว้ (เมื่อปลายธันวา ๕๕) ว่า “มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป” ความผิดอย่างนี้ต้องไปไล่เบี้ยเอาเองจากผู้ลงมือกระทำเป็นรายบุคคล ปัดสวะไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษรับงานแทน

อธิบดีดีเอสไอคนเก่าดันให้ความเห็นต่อสาธารณะว่าหลักฐานบาดแผลชี้แน่นอนทหารยิง เลยเด้งไปพร้อมทั้งโดนสอบคอรัปชั่นเพราะมีบ้านหลังใหญ่ สงสัยมีเศรษฐีที่เดี๋ยวนี้โดนแซวว่าซื้อมังแตสกิเยอไปแล้วใจดีซื้อให้ การสอบสวนของดีเอสไอจึงเยิ่นเย้อมาถึงวันนี้สี่ปีครึ่ง

เรื่องนี้ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะที่เป็นผู้ประสานงานศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เม.ย.-พ.ค. ๕๓ (ศปช.) ให้ข้อคิดว่า

ชนวนหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงความไม่สามารถปรองดองในเวลาอันใกล้ได้คือ การที่ ป.ป.ช.พยายามจะชี้มูลกรณีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง แต่รัฐบาล คสช.กลับสามารถจ่ายเงินเยียวยาให้กับ กปปส.ได้


มิหนำซ้ำหนึ่งในผู้ต้องหาที่หลุดคดีนี้ บอกว่าพร้อมสู้คดี รายบุคคลเพราะเขียนคำให้การไว้อย่างละเอียดแล้ว พิมพ์หนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรออกขาย ชื่อ “คำให้การพระสุเทพ ปภากโร” อย่างนี้ที่ทนายของญาติผู้เสียชีวิตคิดฟ้อง ปปช. ให้ชี้มูลความผิดใหม่ตามที่ศาลฎีกาโบ้ยไว้ เห็นท่าจะยาก


ไอ้การฟ้อง ปปช. นี่คงต้องรอให้พวก พธม. และ กปปส. เป็นผู้ฟ้องน่าจะคืบได้อะไรบ้างมั้ง

อย่างที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ประกาศจะยื่นร้องเรียน สนช. ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญทำการถอดถอนคณะกรรมการปราบทุจริตฯ คณะนี้ เพราะตัดสินยกฟ้องชุดรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คดีสลายชุมนุม พธม. ๗ ตุลา ๕๑

พธม. คงจะสมหวังละ ในเมื่อพี่ชาย พล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (หนึ่งในผู้ต้องหาที่หลุดคดี) บอกว่า “คดีตั้งกี่ปีมาแล้ว ผมยังไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเลย...ผมไม่รู้เรื่อง สื่อถามแบบนี้ไม่ได้” ที่ว่าให้ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช. นครบาล มารับบาปแทน โดยถูกอุทธรณ์ได้คนเดียว



กับเรื่องปากท้องของชาวบ้านที่โพสต์ทูเดย์รายงาน แม่ค้าปลาอยู่ได้เพราะเงินหมุนเวียน เพราะลูกค้าพากันหายไปหมด กับแม่ค่าผักคลองเตยว่า “เมื่อก่อนเบียดกันจะตาย สมัยนี้นับคนได้” ด้านแม่ค้าไส้กรอกอีสานย้ำ “ยิ่งเงียบไปใหญ่ ดูไม่ค่อยอยากใช้จ่ายกันเท่าไร”

ส่วนพ่อค้าข้าวแกงอโศกชี้ “เมื่อก่อนมีแต่ทำของเพิ่ม ตอนนี้ต้องลดลง ลดลงไปเยอะมาก คนไม่ซื้อ เงินก็ไม่มีใช้จ่าย” และได้พ่อค้าไก่ทอดน้ำปลาแจงเหตุ “บ้านหนึ่งมีสามคน เคยซื้อกับข้าวคนละอย่างมากินรวมกัน ตอนนี้ลดเหลือแค่สอง คนขายแย่เลยครับ”


แล้วยังไง สนช. รอเป็น สว. ลากตั้ง พวกคนดีทั้งหลายเพิ่งผ่านงบประมาณปี ๖๑ หมาดๆ ใช้เวลาอภิปรายแค่สี่ชั่วโมง แล้วยกมือรวด ๒๐๐ คน ให้ปีหน้า คสช. ได้จ่ายคล่องอีกแล้ว ๒ ล้าน ๙ แสนล้านบาทไทย

โดยเฉพาะงบกลางที่ไม่ได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามกระทรวงต่างๆ (รวมทั้งกลาโหมไว้ซื้อเรือดำน้ำ) ถึง ๙ หมื่น ๗ พันกว่าล้าน พอดีได้จ่ายค่าปรึกษาและควบคุมการก่อสร้างรถไฟเร็วปานกลางเส้นทางโคราช จีนขอเพิ่มอีกเป็น ๓,๕๐๐ ล้านบาท



มาถึงกรณีเอ็มวีฮิวโก้ที่บอกว่า “ถ่ายทอดเรื่องราวของอาชีพคนเชียร์แขก ในสถานที่เที่ยวกลางคืนสำหรับท่านชาย ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่ที่ก้าวเข้ามาต้องเอาความเสี่ยงมาแลกกับความสุข” กำลังจะดังเพิ่งถูกสั่งห้าม

จนผู้กำกับฯ ชาติฉกาจ ไวกวี เป็นงง เพียงเนื้อเพลงบอกว่า “สวรรค์บนนั้น มันมีแต่ความร้อนแรง...แต่ถ้าหากโชคร้าย ก็คงต้องจ่ายด้วยชีวิต” วิดีโอเพลงชิ้นนี้ก็ถูกแบน

“สิ่งที่รุนแรงกว่านั้น เอ็มวีอื่นที่ผัวเมียตบกัน ละครที่หนักกว่านี้ หรือคนตามข่าวดาราเตียงหัก เรื่องนี้ขี้ปะติ๋ว” แล้วไฉน “ปิดผมไม่เกิดอะไร” ผู้กำกับฯ หนุ่มบ่น


หรือกรณีคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าอย่าง เนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล ประธานสภานิสิต จุฬาฯ ต่อต้านระบบโซตัสรับน้อง คัดค้านพิธีหมอบคลานถวายสัตย์ เพื่อนร่วมทีมถูกอาจารย์ล็อคคอ พวกตนกลับโดนทางมหาวิทยาลัยตัดคะแนนความประพฤติ แล้วไล่ออกจากสมาชิกภาพสภานิสิต



จะว่าผิดผีผิดไข้ก็ไม่เชิง แต่มันผิดทำนองคลองธรรมาประชาธิปไตยชนิดหักหวนสวนทาง นิติธรรมเละเทะ นิติรัฐเหลวเป๋ว เล่นแต่นิติวิธีสับโขกพวกไม่ชอบรัฐประหารจนหามาตรฐานความยุติธรรมอะไรไม่ได้

เช่นที่มีคนตั้งข้อสังเกตุไว้ไม่ผิด “ชนะทุกศาลแต่แพ้เลือกตั้ง อีกฝ่ายชนะเลือกตั้งแต่แพ้ทุกศาล”

มันจึงไปลงล็อคที่เพจ เร็ดยูเอสเอ เขาเปรยไว้ “บ้านหลังเก่ามันผุพังเกินแก้ไข ต้องทุบทิ้งและสร้างใหม่” เสียละมัง