วันอาทิตย์, กรกฎาคม 17, 2559

จักรภพ เพ็ญแข: มองตุรกีแล้วย้อนมองไทย ได้บทเรียนอะไรบ้าง?





ตุรกีมีอะไรคล้ายกับไทยหลายอย่างครับ แต่สิ่งที่แตกต่างมากในขณะนี้คือทหารในกองทัพก่อการรัฐประหารแล้วล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และกลายเป็นกบฏเสื้อเขียวถูกเอาตัวไปเข้ากรงขังแล้วหลายพันนาย และนาง รวมทั้งอดีตผู้บัญชาการทหารบกที่มีข่าวลือว่าถูกยิงหัวจนด่าวดิ้นไปแล้วด้วย

หากจะถามว่าทำไมการก่อกบฏในบางประเทศจึงสำเร็จ และทำไมในตุรกีครั้งนี้จึงล้มเหลวจนกลายเป็นนักโทษไปตามๆกันในบัดนี้นั้น ผมขอคุยสั้นๆเพื่อให้อ่านกันทันใจดังนี้ครับ:

1.  ตุรกีมีประวัติศาสตร์ยาวนานเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างผู้นำศาสนาอิสลามกับผู้นำทหารฝ่ายฆราวาส หรือเรียกแบบไทยง่ายๆว่าทะเลาะเบาะแว้งและแก่งแย่งอำนาจกันมานานระหว่างทางโลกและทางธรรม

ฝ่ายโลกหรือฆราวาสนั้นไม่ต้องการให้ตุรกีกลายเป็นรัฐศาสนาเหมือนอิหร่าน เพราะรู้ดีว่าผู้นำแบบนี้จะอ้างพระผู้เป็นเจ้ามาข่มขู่มนุษย์เราเอาได้ง่ายๆ เพียงเพื่อให้มีอำนาจเหนือหัวมนุษย์คนอื่น

ฝ่ายทหารในอดีตจึงเข้ายึดอำนาจหลายครั้งจนฝ่ายศาสนารวมสังขารไม่ติด 

แต่การกบฏครั้งล่าสุดที่เจ๊งไม่เป็นท่าไปแล้วนั้นเกิดขึ้นกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและได้รับความนิยมจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และใช้ความเป็นประชาธิปไตยนั่นเองลดอิทธิพลของฝ่ายศาสนจักรลงเป็นลำดับมา

ถึงแม้ระบอบของประธานาธิบดีเออร์โดกันจะมีความผิดพลาดบกพร่องในหลายเรื่อง ชาวตุรกีเขาก็ยังสรุปว่าคนที่ตนเลือกตั้งมากับมือยังดีกว่าพวกมนุษย์ตัวเขียวที่เข้ามารวบอำนาจอย่างหน้าด้านๆ เพราะพวกนี้ไม่มีความถูกต้องชอบธรรมอะไรเลยและต้องหาเรื่องฝ่ายประชาชนเรื่อยไปเพื่อจะยืดอำนาจผิดๆของฝ่ายตัวเองออกไปจนสิ้นเวร

เราสรุปบทเรียนบทที่หนึ่งได้ว่า:

เมื่อรัฐบาลเลือกตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยรู้จักปรับปรุงตัวเองจนลดความบกพร่องลง จะไม่มีระบอบเผด็จการทหารหรือเผด็จการศาสนาหรือเผด็จการไสยศาสตร์หน้าไหนจะอ้างความชอบธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าได้ทั้งนั้น เพราะมวลชนจะร่วมสู้กับพวกที่คิดทำลายลงจนสิ้นซาก อย่างที่เราเห็นในตุรกีขณะนี้

2. ฝ่ายทหารในตุรกีไม่มีใครที่มีอำนาจสูงกว่าคอยชักใยอีกต่อหนึ่ง

ทหารคือทหาร ,ไม่ใช่ยามเฝ้าบ้านของใคร โดยเฉพาะเมื่อทหารเกิดคิดสั้นอยากเข้าสู่อำนาจโดยไม่มีใครเขาเชิญและก่อรัฐประหารขึ้น 

ทหารกลุ่มนั้นก็จะต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอดทางการเมืองเอาเองไม่มีใครมาคอยแก้ผิดให้เป็นถูกหรือไปกวาดต้อนพรรคพวกของตนมาประท้วงสร้างเงื่อนไขให้ทหารยึดอำนาจได้ง่ายขึ้น

ระบอบในตุรกีจึงเป็นเรื่องของระบอบทหาร ชนกับระบอบที่ประชาชนเห็นว่าเป็นประชาธิปไตยกว่า

ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างระบอบทหารรับจ้างที่รับใช้แต่เจ้านายของตนเองกับระบอบประชาธิปไตยแต่อย่างใด

บทเรียนข้อ2 คือ: รำคาญหมาก็ต้องเอาเรื่องกับตัวเจ้าของหมา, ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของเก่าหรือเจ้าของใหม่ก็ตาม

3. ประธานาธิบดีเออร์โดกันเป็นขั้วอำนาจหลักในตุรกีก็จริงอยู่ แต่เขายังมีนายกรัฐมนตรียิลดิรีมในทีมเดียว และเป็นอีกขั้วหนึ่งที่บริหารงานผ่านคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะ

ทำให้เขาสามารถแยกบทบาทและร่วมรับมือกับกบฏเขียวพวกนี้ได้อย่างมั่นคง, นี่คือสิ่งที่เราควรต้องศึกษาและพิจารณาอย่างจริงจัง

การสู้กับเครือข่ายเชื้อชั่วไม่มีวันตายนั้น เราจะต้องวางโครงสร้างทางอำนาจในฝ่ายประชาชนอย่างไร หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างที่เคยนั้นเพียงพอหรือไม่ในการรับมือกับสัตว์ร้ายหลายหัวแบบในเทพนิยายกรีก

บทเรียนที่3 จึงสรุปได้ว่า: บริษัทกับประเทศ(รัฐ)มีความแตกต่างกันมาก, โครงสร้างและระบบที่วางไว้ทำงานย่อมต้องสะท้อนความแตกต่างกันนี้ด้วย

ตอนนี้เราจะหยุดไว้ตรงนี้และติดตามเหตุการณ์กันต่อไปนะครับ....

จักรภพ เพ็ญแข
16 ก.ค. 2559