ต่อเนื่องมาจากกรณีที่ ๗ นักศึกษา ดาวดิน และ ๗ นักศึกษา ประชาธิปไตยใหม่ ถูกเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบจับกุมกลางดึกของวันที่ ๒๖ มิถุนายน ศกนี้ ไปกักตัวไว้ที่สถานีตำรวจพระราชวัง จนกระทั่งศาลทหารซึ่งเปิดกระทำการเป็นกรณีสุดพิเศษเพื่อประทับรับฟ้องตามมาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะรัฐประหาร สั่งฝากขังนักศึกษาทั้ง ๑๔ คนเป็นเวลา ๑๒ วัน
ก่อให้เกิดการประท้วง ทั้งในหมู่นักศึกษา-ชาวบ้านในประเทศ
องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติ
และบุคคลทั่วไปในต่างประเทศที่เห็นว่าการจับกุมนักศึกษาเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
จึงเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาเหล่านั้น ละเว้นการนำพลเรือนเข้าดำเนินคดีในศาลทหาร
และยุติการบังคับใช้ ม.๔๔ ที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จล้นพ้นแก่หัวหน้าคณะยึดอำนาจปกครองทันใด
ในจำนวนผู้เรียกร้องเหล่านี้รวมถึงนักศึกษาโครงการแลกเปลี่ยนชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งร่วมมือกันกระทำกิจกรรมเพื่อชุมชนนานาชาติ เรียกตนเองว่า ENGAGE (Educational Network for
Global and Grassroots Exchange) บางคนในกลุ่มนี้เคยไปร่วมพัฒนาชุมชนกับชาวบ้านภาคอีสานของไทย
ใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอันดีกับกลุ่มนักศึกษาดาวดิน อีกทั้งเคยร่วมสนับสนุนการณรงค์คัดค้านการทำเหมืองทองคำของบริษัททุ่งคำ
ที่บ้านนาหนองบง จังหวัดเลย
ทันทีที่กลุ่มนักศึกษาดาวดิน-ประชาธิปไตยใหม่ถูกจับกุม
นักศึกษาอเมริกันกลุ่ม ENGAGE พากันไปยกป้ายเรียกร้องให้ปล่อยตัวที่หน้าสถานกงสุลไทย
นครลอส แองเจลีส พร้อมยื่นจดหมายต่อกงสุลใหญ่ไทย นายเจษฎา กตะเวทิน
จากนั้นก็ประสานกับเครือข่ายนักศึกษากิจกรรมตามมลรัฐต่างๆ
อาทิ นิวยอร์ค ชิคาโก วอชิงตัน ดีซี พอร์ตแลนด์ (ออเรกอน)
เพื่อดำเนินการเรียกร้องปล่อยตัวนักศึกษาไทย ยกเลิกใช้ ม.๔๔
และยุติการพิจารณาคดีพลเรือนในศาลทหาร
แม้ว่านักศึกษาดาวดิน-ประชาธิปไตยใหม่จะได้รับการปล่อยตัวหลังจากครบกำหนดฝากขัง
๑๒ วัน แล้วรอการดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่งเจ้าหน้าที่ และหัวหน้า คสช. ต่อไป
ก็มิได้หมายความว่าข้อเรียกร้องของกลุ่ม ENGAGE จะได้รับการตอบสนอง
จนกระทั่งกลุ่มนักศึกษาไทย ‘ประชาธิปไตยใหม่’ เองยังได้ออกแถลงการณ์ ๓ ข้อ ยืนยันสถานะของพวกตนว่า
๑. การปล่อยตัวมิได้ฝากขังต่อเป็นผลัดที่สอง
ไม่ใช่ความกรุณาปราณีของศาลทหารแต่อย่างใด ในเมื่อครอบครัวของพวกเขายังถูกก่อกวน ข่มขู่
และกดดัน อยู่ต่อไปไม่ขาดสาย
๒. การบังคับใช้มาตรา
๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวของคณะรัฐประหาร เป็นการผิดต่อหลักกฏหมาย
และเป็นการควบคุม ขัดขวางต่อเสรีภาพของประชาชน ที่พวกตนยังคงคัดค้านต่อไปไม่หยุดยั้ง
๓. จะยังคงขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยต่อไป
ด้วยหลัก ๕ กำปั้นของพวกตน โดยยึดถือประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม
การมีส่วนร่วม และสันติวิธี
อนึ่ง กลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ยังประกาศร่วมมือร่วมใจกับทุกองค์กรที่รณรงค์เพื่อประชาธิปไตยทั้งหลาย
ในการกระทำกิจกรรมต่อไป
จึงแน่นอนว่าจะมีการรับลูกจากกลุ่มนักศึกษาอเมริกัน ENGAGE อย่างแน่นอน จึงชวนมาเงี่ยฟังความเห็น ความเข้าใจของผู้ประสานงานในกลุ่มดังกล่าว
ต่อการพัฒนาชุมชน และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทย ไว้เป็นภูมิปัญญาสะสมที่หลากหลาย
ทั้งนี้จากการให้สัมภาษณ์ของผู้ประสานงาน ENGAGE หนุ่มสาวสองคน คือ Jude Pekinpaugh และ Rachel
Karpelowite ต่อ Thais Voice Media โดย จอม เพชรประดับ ดังต่อไปนี้
จอม เพชรประดับ : คุณรู้จักชาวบ้านรากหญ้าในประเทศไทยแค่ไหน
จูด เพ็คกินพอก์ : ผมว่าคนบ้านนอกรู้จักประชาธิปไตยมากกว่าคนในกรุงเทพฯ
คนเหล่านั้นเป็นผู้ที่ต่อสู้อยู่ในสนาม ผมได้คลุกคลีอย่างมากกับชาวบ้านที่นาหนองบง
วังสะพุง จังหวัดเลย ชาวนั้นเหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นนักกิจกรรมอะไร
พวกเขาเป็นชาวนา เป็นกันมานานนมแล้ว และยังต้องการเป็นอย่างนั้น
ข้อเท็จจริงที่รัฐบาลปล่อยให้บริษัท (ทุ่งคำ) เข้าไปทำลายผืนดิน
ทำให้พวกเขาต้องฮึดสู้ ต้องกลายเป็นนักกิจกรรม การทำอย่างนั้นเป็นการให้อำนาจแก่ตัวเอง...ที่จะกล้าพูด
การที่ผมร่วมมือกับนักศึกษาทำให้ผมเรียนรู้มากมาย
นักศึกษาก็ได้เรียนรู้เช่นกัน นี่คือการเป็นประชาธิปไตย เราเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
จะมาบอกว่าบรัทเหมืองจะเข้าไปทำอะไรก็ได้ตามใจ ชาวบ้านเขารู้อะไรเป้นอะไรมากกว่าพวกผู้ดีในกรุง
พวกเขาต้องการสิทธิที่จะโต้แย้ง สิทธิในการร่วมแรงเป็นกลุ่มก้อน แน่นอน
พวกเขารู้อะไรเยอะแยะ
จอม : คุณคิดอย่างไรกับประชาธิปไตยในประเทศไทย
เรเชล คาร์เพ็นโลไว้ท์ : นั่นเป็นคำถามที่ซับซ้อนสักหน่อยนะ
เพราะประชาธิปไตยมักจะต่างกันไปในแต่ละประเทศ สำหรับไทยมีเอกลักษณ์ตรงที่เป็นระบบรัฐธรรมนูญราชาธิปไตย
สหรัฐไม่มีสถาบันกษัตริย์จึงได้ดำเนินการต่างออกไป
ฉันคิดว่าถูกต้องแล้วละที่จะขวยขวายไปสู่ประชาธิปไตย ทุกคนต่างมีความเห็นของตนเองว่าควรเป็นอย่างไร
โดยส่วนตัวฉันไม่คิดว่าสหรัฐจะเป็นแบบอย่างที่เหมาะสมที่สุด
อย่างที่เราคิดกันมาแล้ว ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีประเทศไหนเป็นได้
แต่การมุ่งไปสู่เผด็จการทางทหารไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องแน่ๆ สำคัญที่สุด
เสียงของประชาชนต้องได้รับการรับฟัง
พวกเขาย่อมเห็นได้หากสิทธิเสียงอันไหนถูกดึงเอาออกไป
จูด : บ้าละสิ ถ้าคิดว่าใครๆ ต้องได้รับการหนุนหลังจากทักษิณ
ไม่หรอก ไม่จริงเลย ผมว่านะ ใครๆ ย่อมมีความคิดของตัวเอง
นักศึกษาก็มีสิทธิเสียงของเขา จะห้ามไม่ให้พวกเขาพูดถึงเรื่องสิทธิได้อย่างไร
การที่รัฐบาลจะบอกกับสามัญชนว่าเลือกข้างไม่ได้นะ มีความคิดเห็นของตัวเองก็ไม่ได้
แถมกล่าวหาว่าพวกเขาถูกทักษิณดันหลัง
ผมว่านี่เป็นการปั้นเรื่องไม่จริงให้เป็นเสาหลักขึ้นมา
ผมไม่คิดนะว่าเขามีหลักฐานปรักปรำว่าทักษิณหนุนหลังพวกนักศึกษา หรือชาวบ้านถูกทักษิณครอบงำ
ที่จริงในชนบทหลายท้องที่เขาไม่ชอบทักษิณกันด้วยซ้ำ ไม่เห็นด้วยกับความคิดของทักษิณ
ผมไม่คิดว่าถ้าคุณต้องการประชาธิปไตยและเสรีภาพ
จะทำให้คุณกลายเป็นฝักฝ่ายหนึ่งใดได้ มันไม่ได้ทำให้คุณเป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดง
ไม่ทำให้คุณสังกัดพรรคใดพรรคหนึ่งได้ แต่มันทำให้คนเป็นมนุษยชน
นั่นแหละที่ผมคิดว่าชาวบ้านขวนขวายเรียกหา เขาต้องการมีสิทธิเสียง
คนธรรมดามีสิทธิเสียงเหมือนคนชั้นสูง
จอม : คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับทักษิณ
จูด : ผมมีความรู้สึกละล้าละลังนะเรื่องนี้
ผมเองไม่ชอบนักการเมือง บ่อยครั้งพวกนี้พยายามเอาชนะใจคนจน ขณะเดียวกันก็เอาใจคนรวยพร้อมไปด้วย
ผมไม่คิดว่าพวกนี้มีแผนงานหรือโครงการที่เป็นประโยชน์แก่ทุกๆ คนได้หมด เขาเพียงมุ่งจะให้ได้คนมาเป็นพวกให้มากที่สุด
ผมไม่คิดว่านี่เป็นวิธีที่ควรทำในการดำเนินงานปกครอง แทนที่จะมุ่งเอาคนมาเป็นพวก
ควรที่จะมุ่งที่ประชาชนว่าจะได้รับอะไรบ้าง
ประเทศไทยปกครองจากส่วนกลาง อำนาจต่างๆ จุกอยุ่ในกรุงเทพฯ
ไม่มีอำนาจในภาคใต้ ภาคเหนือ หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผมคิดว่าสิ่งที่ทักษิณพยายามจะทำคือเกลี่ยอำนาจออกไป
แต่ผมไม่คิดว่าเขาทำได้ถูกทางนะ ผมคิดว่ามีการคอรัปชั่นในรัฐบาล
แต่อีกนั่นแหละรัฐบาลไหนๆ ก็คอรัปชั่นกันทั้งนั้น ในหมู่นักการเมืองที่อยู่ในนั้น
แต่สิ่งที่เขาทำให้เกิดขึ้นเป็นการแสดงให้ประชาชนคนธรรมดาเห็นว่าพวกเขามีสิทธิมีเสียง
ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยหรือเห็นชอบกับการเมืองแบบของทักษิณ
ทักษิณได้ทำให้พวกสามัญชนรู้สึกตนว่าพวกเขามีความคิดความอ่าน มีสิทธิมีเสียง
และนี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าทรงพลังทีเดียว
จอม : มีหลายคนพูดว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ
ที่เหมาะที่สุด ถ้าเขากลับไปบริหารประเทศอีกครั้ง
เรเชล : ก็พูดยากอยู่นะ
ประเทศไทยไม่ได้ดีพร้อมเมื่อก่อนเกิดรัฐประหาร และก็ใช่ว่าจะดีพร้อมหลังจากรัฐประหาร
ฉันคิดว่าน่าจะต้องมีคนจำนวนมากกว่าบุรุษหนึ่งนายที่จะมาแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างได้
ประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนตัวเอง เรื่องระบอบประชาธิปไตย การปกครอง
และต้องการให้ใครเข้าไปบริหารประเทศ ทักษิณอาจเป็นหนึ่งในนั้น ฉันไม่รู้
จอม : คุณทราบหรือไม่ว่าทำไมประเทศไทยถึงได้มีการทำรัฐประหารมากมายหลายครั้งเหลือเกิน
จูด : ในความเห็นผมน่าจะเป็นเพราะการปกครองแบบรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง
ทันทีที่ประชาชนเริ่มรุกเร้า และออกมาแสดงความคิดเห็น ก็จะเกิดรัฐประหารขึ้น
เพราะรัฐบาลและคนชั้นนำไม่ต้องการอย่างนั้น
พวกนี้ต้องการอยู่ในอำนาจเพื่อให้เป้าหมายของตนบรรลุผล
มันน่าเศร้าที่ประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดการยึดอำนาจปกครองเพราะไม่ต้องการฟังความเห็นประชาชน
มันน่าเศร้า แล้วมันก็ประจักษ์ชัดว่าแต่ละครั้งทำแล้วก้ไม่ได้ผล จนกระทั่งบัดนี้
ไม่รู้ว่าทำไมต้องซ้ำรอยเดิม ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งที่มันไม่เคยได้ผล
ผมว่ามันบ้าบอน่ะนะ
เรเชล : ฉันคิดว่าเป็นเคราะห์ร้ายที่ประเทศไทยใช้รัฐประหารเป็นทางออกเมื่อเหตุการณ์ชักจะควบคุมไม่ได้
ฉันคิดว่ามีทางอื่นที่จะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม (๒๕๕๗) ก่อนการรัฐประหารได้อยู่นะ
จูด : ผมหมายความว่าทั้งสองฝ่ายน่าที่จะร่วมกันหาทางประนีประนอม
พวกอำมาตย์กับพวกทหารในรัฐบาลควรฟังนักศึกษาบ้าง และควรหาข้อสรุปร่วมกัน
หาทางออกด้วยกัน ผมพูดอย่างสัตย์ซื่อเลยว่าพวกเขาไม่ต้องการอย่างนั้น ผมไม่คิดว่าเขาพร้อมที่จะสละอำนาจใดๆ
ที่มีอยู่ ผมอยากคิดเหมือนกันว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นเหมาะกับประเทศไทย
แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกัน
จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอีกมากมายหากอยากได้อะไรที่มันเป็นเป็นมนุษยธรรม
อะไรที่เป็นแบบอย่างดีๆ
เรเชล : ฉันว่าแรกทีเดียวต้องยับยั้งรัฐประหารเสียก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ฉันคิดว่าประเทศไทยต้องการเวลามากทีเดียว และต้องมีพลังขับดันอีกเยอะ
มากกว่าที่ตั้งใจทำกันอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสร้างระบบที่มั่นคงให้เกิดขึ้น
ดูจากประชาธิปไตยทั่วโลก มันไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันอาจช้าหน่อย แต่ก็จะเป็นอนาคตที่หวังในทางดีได้
จูด : ข้อนี้ดีทีเดียว
ผมไม่ได้คิดค้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเองนะ ไม่ใช่เป้าหมายของผม
แต่นี่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านสอนให้ผมรู้จัก
ผมไปเมืองไทยไม่ใช่จะไปบอกว่าควรทำอย่างนี้อย่างนั้นนะ
ผมไปเพื่อจะเรียนรู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไรกัน
เรียนรู้จากขบวนการรากหญ้าที่มีอยู่แล้วในประเทศ
ผมไม่ได้เอาแผนการณ์อะไรติดมือไปด้วย...แต่ได้ไปเรียนรู้แนวคิดของนักศึกษา
ว่าประเทศของพวกเขาควรเดินไปอย่างไร นั่นทำให้ผมเกิดไฟที่จะร่วมต่อสู้กับพวกเขา
นั่นแหละบอกถึงว่าทำไมเราถึงทำสิ่งที่ทำกันอยู่วันนี้
ผมเรียนรู้จากพวกเขาว่าพวกเขาไม่มีสิทธิไม่มีเสียง
ผมก็อยากช่วยให้พวกเขาได้มีสิทธิเสียง ช่วยพวกเขาเปล่งเสียงกันออกมาได้
เรเชล : สำหรับฉันไม่มองถึงว่าจะมีรัฐประหาร
มีประชาธิปไตย หรือว่ามีราชาธิปไตย เหล่านี้อาจมีเป็นแถบชั้นอยู่แล้วในเนื้อก็ได้
ฉันดูตามข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลไม่ได้ปกป้องสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกคน
และนั่นคือสิ่งที่คนทั่วโลกเขามองเห็น