ธนาธรโกอินเตอร์ไม่หยุด ขึ้นเวทีผู้นำเปลี่ยนแปลงโลก รัฐบาลสกัดไม่อยู่ ฟาดเผด็จการอำมาตย์ไม่ยั้ง ตู่อ้างคนบริสุทธิ์ขออยู่นาน พรรคหนุนเละไร้อนาคต ถามทุกเรื่องตอบไม่ได้ https://t.co/rsnXGcHHtm ผ่าน @YouTube
— Sirote Klampaiboon (@sirotek) November 3, 2022
Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
9h
[ สุนทรพจน์ของผม ต่อชุมชนประชาธิปไตย ในงาน Oslo Freedom Forum in Taiwan ]
.
วันนี้ ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในเวที Oslo Freedom Forum in Taiwan : Champion of Change ซึ่งเป็นมหกรรมด้านสิทธิมนุษยชน ที่จัดขึ้นโดย The Human Rights Foundation เป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดขึ้นที่กรุงไทเป ไต้หวัน
.
ในโอกาสนี้ ผมขอนำคำแปลสุนทรพจน์ฉบับเต็มของผม มาเผยแพร่ต่อไว้ ณ ที่นี้ ให้ทุกท่านได้ร่วมอ่านไปพร้อมกันด้วยครับ
**********
อรุณสวัสดิ์ นักสู้เพื่อเสรีภาพจากทุกมุมโลก
.
วันนี้ ผมจะขอพูดถึงความสำคัญของการปกป้องประชาธิปไตย และทำไมมันถึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเราทุกคน
.
เพื่อที่จะตอบคำถามว่า “เหตุใดการปกป้องประชาธิปไตยถึงสำคัญ?” เราต้องถามคำถามสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย?” และไม่มีคำตอบใดจะดีไปกว่าการเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของผมในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา
.
นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ผ่านมา 90 ปีประเทศไทยยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ โดยประเด็นที่เป็นใจกลางหลักของความขัดแย้งเสมอ คือคำถามว่าอำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของใครกันแน่ ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพ หรือว่าประชาชน?
.
ในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา ประเทศของผมผ่านการมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นายกรัฐมนตรี 29 คน การรัฐประหาร 13 ครั้ง เราเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเฉลี่ย 4.5 ปีครั้ง เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเฉลี่ย 3 ปีครั้ง และเกิดการรัฐประหารขึ้นโดยเฉลี่ย 7 ปีครั้ง สำหรับคนรุ่นอายุ 44 ปีเช่นผม เราผ่านการรัฐประหารมาแล้วถึง 3 ครั้ง
.
และเมื่อใดก็ตามที่ประชาชนไทยลุกขึ้นต่อสู้กับเผด็จการ เรียกร้องการเลือกตั้ง พวกเขาจะได้รับกระสุนปืนเป็นค่าตอบแทนเสมอ เราสูญเสียวีรชนไปถึง 77 คนในเดือนตุลาคม 2516, กว่าอีก 200 คนในเดือนตุลาคม 2519, กว่า 100 คน ในเดือน พฤษภาคม 2535, และ อีก 99 คน ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 นี่คือคำตอบจากชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม ว่าพวกเขาจะไม่มอบอำนาจสูงสุดให้ประชาชนโดยเด็ดขาด
.
ปัจจุบัน เรามี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ก่อการรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2557 เป็นผู้นำที่ยังคงสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เป็นเวลาถึง 8 ปีแล้ว
.
สิ่งเหล่านี้ คือผลลัพธ์จากความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตยของเรา
.
ครั้งหนึ่ง ผมเคยเป็นเพียงนักบริหารที่อยู่ในภาคธุรกิจ เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตของประเทศ แต่ก็ยังคงมีความเชื่อว่าประเทศไทยยังสามารถดีกว่านี้ได้ นั่นนำมาสู่การที่ผมและเพื่อนร่วมอุดมการณ์จำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาในปี 2561 เพื่อท้าทายอำนาจคณะรัฐประหาร พรรคของเราได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง จนได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนถึง 6.3 ล้านเสียงในการเข้าสู่สนามครั้งแรกของเรา กลายเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร
.
นโยบายของเรา ทั้งในเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการปฏิรูปกองทัพ ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากประชาชนคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว
.
ผมได้รับการเสนอชื่อจากบรรดาพรรคฝ่ายค้านให้เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี แข่งกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลของเรากลับถูกช่วงชิงไปโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และวุฒิสภา ซึ่งล้วนแต่มาจากการแต่งตั้งโดยผู้นำกองทัพ และผมก็ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าสภาผู้แทนราษฎรในฐานะสมาชิก จากการที่คณะรัฐประหารอาศัยประเด็นทางเทคนิคมากีดกันผมออกไปจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
.
เพียง 10 เดือนให้หลังจากการเลือกตั้ง พรรคของเราถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตุลาการของศาลก็ได้ถูกแต่งตั้งมาจากผู้นำกองทัพด้วยเช่นกัน ผมและคณะกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ตามมาด้วยการดำเนินคดีอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, ยุยงปลุกปั่น, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์
.
เสรีภาพของผมถูกจำกัด ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกจองจำ และไม่ใช่เพียงแค่ผมเท่านั้น ครอบครัวของผมและคนที่ผมรัก ผู้ให้การสนับสนุนผมมาตลอดการเดินทางบนเส้นทางการเมือง ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่หลานสาวอายุเพียง 17 ปีของผม ที่ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ไปด้วย
.
ความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตยของเราไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศไทยเท่านั้น ผลลัพธ์ของความล้มเหลวนี้ยังเดินทางข้ามพรมแดนไปสู่ประชาคมโลกอีกด้วย
.
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ นำพาประเทศไทยไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศจีนมากขึ้น ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร นำมาสู่การส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิตไปให้จีนในปี 2558 ท่ามกลางคำเตือนจากประชาคมโลกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย และคำขอร้องให้มีการส่งตัวพวกเขาไปสู่ประเทศที่สาม
.
ถ้าไม่มีการรัฐประหารในปี 2557 ชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิต น่าจะได้มีชีวิตอยู่ในประเทศเสรีไปแล้ว
.
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย
.
สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาก็เช่นกัน การรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นำมาสู่การปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนกว่า 1,719 ชีวิต และการจับกุมคุมขังประชาชนกว่า 9,984 คน และยังนำมาสู่คลื่นผู้ลี้ภัยที่พยายามเข้ามาประเทศไทย ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะโอบรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้
.
ผู้ลี้ภัยนับหมื่นๆ คน ที่มีแต่คนแก่ แม่ลูกอ่อน คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศ ต้องคอยอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตามแนวพรมแดน ริมฝั่งน้ำและป่าเขา ให้ใกล้กับฝั่งไทยมากที่สุด พวกเขาต้องการเพียงสันติภาพ พวกเขาต้องหนีมาเพื่อความปลอดภัย พวกเขาอยากกลับบ้านแต่ก็กลับไม่ได้ พวกเขาต้องการเพียงที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานที่พวกเขาทุกคนสมควรจะได้รับตามกติกาสากล
.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา คือพวกเขาต้องอยู่ในเพิงพักที่ทำขึ้นเองอย่างตามมีตามเกิด ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก ขาดแคลนทั้งอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรค พวกเขาเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือจากนานาชาติ เพราะรัฐบาลไทยปฏิเสธไม่ให้องค์กรระหว่างประเทศเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาได้จากฝั่งไทย
.
ความเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่การให้สัมภาษณ์ของ มิน อ่อง หล่ายน์ กับสำนักข่าว Nikkei Asia เราทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ มิน อ่อง หล่ายน์ มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกันมาอย่างยาวนานแล้ว และสิ่งนี้ก็ได้รับการยืนยันในคำพูดของ มิน อ่อง หล่ายน์ ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเขา “จะก่อรัฐประหารได้ก็ต่อเมื่อมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเท่านั้น”
.
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย
.
หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2563 ประชาชนคนไทยจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะบรรดาคนหนุ่มสาว ได้ลุกขึ้นประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ เพื่อทวงอนาคตของพวกเขาที่ถูกขโมยไป พวกเขาได้สร้างข้อถกเถียงสำคัญในสังคมขึ้นมาว่าด้วยการปฏิรูปสถาบันสำคัญของประเทศ รวมทั้งสถาบันกษัตริย์ด้วย นับเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ที่ประชาชนคนไทยได้ประกาศอย่างเปิดเผยต่อที่สาธารณะ เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์มีการปฏิรูป
.
แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในทางประชาธิปไตย และอาศัยเพียงการแอบอ้างความจงรักภักดีและการปกป้องสถาบันกษัตริย์มาเป็นความชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียวของเขา กลับใช้อำนาจเพื่อกดปราบการเรียกร้องของประชาชน ดำเนินคดีกับประชาชนกว่า 2,017 คน ผู้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงคนหนุ่มสาว และในจำนวนนี้ มีถึง 183 คนรวมทั้งตัวผมด้วย ที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ จนบางคนต้องลี้ภัย และมีหลายคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกจนถึงเวลานี้
.
สิ่งเหล่านี้คือผลจากความล้มเหลวของเราในการปกป้องประชาธิปไตย และเพียงพอแล้วที่จะตอบคำถามว่าเหตุใดเราจึงต้องปกป้องประชาธิปไตยร่วมกัน
.
หากเราปกป้องประชาธิปไตยได้เป็นผลสำเร็จ หากเราหยุดยั้งการรัฐประหารในปี 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้สำเร็จ ชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิต คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเสรีแล้ว
.
การรัฐประหารในเมียนมาคงจะไม่เกิดขึ้น คงจะไม่มีการสูญเสียของประชาชนกว่า 1,700 ชีวิต และต่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมา ผู้ลี้ภัยนับหมื่นนับแสนคนก็จะได้รับความช่วยเหลือ
.
และหากเราสามารถหยุดยั้งการรัฐประหารในปี 2557 ได้สำเร็จ วันนี้ก็คงไม่ต้องมีใครถูกจองจำอยู่ในคุก เพียงเพราะการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และการเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่านี้ของประเทศ
.
เมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตยไป มันใช้เวลานานในการกอบกู้ แต่ปีหน้าเราจะมีเลือกตั้ง นี่คือโอกาสสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง โอกาสสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยอย่างสันติ ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งธรรมดา ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลจากพรรคหนึ่งไปสู่อีกพรรคหนึ่ง แต่คือการจบระบอบประยุทธ์ ทำให้คนรุ่นใหม่ๆ เขื่ออีกครั้งว่าประเทศนี้เป็นของเราทุกคน
.
โปรดยืนเคียงข้างเราในการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อเสรีภาพ ความเสมอภาค และความสมานฉันท์ของโลกสากล
.
ขอบคุณครับ
9h
[ สุนทรพจน์ของผม ต่อชุมชนประชาธิปไตย ในงาน Oslo Freedom Forum in Taiwan ]
.
วันนี้ ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในเวที Oslo Freedom Forum in Taiwan : Champion of Change ซึ่งเป็นมหกรรมด้านสิทธิมนุษยชน ที่จัดขึ้นโดย The Human Rights Foundation เป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดขึ้นที่กรุงไทเป ไต้หวัน
.
ในโอกาสนี้ ผมขอนำคำแปลสุนทรพจน์ฉบับเต็มของผม มาเผยแพร่ต่อไว้ ณ ที่นี้ ให้ทุกท่านได้ร่วมอ่านไปพร้อมกันด้วยครับ
**********
อรุณสวัสดิ์ นักสู้เพื่อเสรีภาพจากทุกมุมโลก
.
วันนี้ ผมจะขอพูดถึงความสำคัญของการปกป้องประชาธิปไตย และทำไมมันถึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเราทุกคน
.
เพื่อที่จะตอบคำถามว่า “เหตุใดการปกป้องประชาธิปไตยถึงสำคัญ?” เราต้องถามคำถามสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ “จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย?” และไม่มีคำตอบใดจะดีไปกว่าการเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศของผมในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา
.
นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ผ่านมา 90 ปีประเทศไทยยังคงต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ โดยประเด็นที่เป็นใจกลางหลักของความขัดแย้งเสมอ คือคำถามว่าอำนาจสูงสุดของประเทศนี้เป็นของใครกันแน่ ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพ หรือว่าประชาชน?
.
ในรอบ 90 ปีที่ผ่านมา ประเทศของผมผ่านการมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ นายกรัฐมนตรี 29 คน การรัฐประหาร 13 ครั้ง เราเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเฉลี่ย 4.5 ปีครั้ง เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเฉลี่ย 3 ปีครั้ง และเกิดการรัฐประหารขึ้นโดยเฉลี่ย 7 ปีครั้ง สำหรับคนรุ่นอายุ 44 ปีเช่นผม เราผ่านการรัฐประหารมาแล้วถึง 3 ครั้ง
.
และเมื่อใดก็ตามที่ประชาชนไทยลุกขึ้นต่อสู้กับเผด็จการ เรียกร้องการเลือกตั้ง พวกเขาจะได้รับกระสุนปืนเป็นค่าตอบแทนเสมอ เราสูญเสียวีรชนไปถึง 77 คนในเดือนตุลาคม 2516, กว่าอีก 200 คนในเดือนตุลาคม 2519, กว่า 100 คน ในเดือน พฤษภาคม 2535, และ อีก 99 คน ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 นี่คือคำตอบจากชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม ว่าพวกเขาจะไม่มอบอำนาจสูงสุดให้ประชาชนโดยเด็ดขาด
.
ปัจจุบัน เรามี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ก่อการรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2557 เป็นผู้นำที่ยังคงสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้เป็นเวลาถึง 8 ปีแล้ว
.
สิ่งเหล่านี้ คือผลลัพธ์จากความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตยของเรา
.
ครั้งหนึ่ง ผมเคยเป็นเพียงนักบริหารที่อยู่ในภาคธุรกิจ เป็นหนึ่งในผู้คนจำนวนมากที่รู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตของประเทศ แต่ก็ยังคงมีความเชื่อว่าประเทศไทยยังสามารถดีกว่านี้ได้ นั่นนำมาสู่การที่ผมและเพื่อนร่วมอุดมการณ์จำนวนหนึ่ง ได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาในปี 2561 เพื่อท้าทายอำนาจคณะรัฐประหาร พรรคของเราได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง จนได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนถึง 6.3 ล้านเสียงในการเข้าสู่สนามครั้งแรกของเรา กลายเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร
.
นโยบายของเรา ทั้งในเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และการปฏิรูปกองทัพ ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากประชาชนคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว
.
ผมได้รับการเสนอชื่อจากบรรดาพรรคฝ่ายค้านให้เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี แข่งกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลของเรากลับถูกช่วงชิงไปโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และวุฒิสภา ซึ่งล้วนแต่มาจากการแต่งตั้งโดยผู้นำกองทัพ และผมก็ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าสภาผู้แทนราษฎรในฐานะสมาชิก จากการที่คณะรัฐประหารอาศัยประเด็นทางเทคนิคมากีดกันผมออกไปจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
.
เพียง 10 เดือนให้หลังจากการเลือกตั้ง พรรคของเราถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตุลาการของศาลก็ได้ถูกแต่งตั้งมาจากผู้นำกองทัพด้วยเช่นกัน ผมและคณะกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ตามมาด้วยการดำเนินคดีอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, ยุยงปลุกปั่น, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์
.
เสรีภาพของผมถูกจำกัด ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกจองจำ และไม่ใช่เพียงแค่ผมเท่านั้น ครอบครัวของผมและคนที่ผมรัก ผู้ให้การสนับสนุนผมมาตลอดการเดินทางบนเส้นทางการเมือง ก็ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่หลานสาวอายุเพียง 17 ปีของผม ที่ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ไปด้วย
.
ความล้มเหลวในการปกป้องประชาธิปไตยของเราไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศไทยเท่านั้น ผลลัพธ์ของความล้มเหลวนี้ยังเดินทางข้ามพรมแดนไปสู่ประชาคมโลกอีกด้วย
.
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ นำพาประเทศไทยไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประเทศจีนมากขึ้น ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหาร นำมาสู่การส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิตไปให้จีนในปี 2558 ท่ามกลางคำเตือนจากประชาคมโลกว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย และคำขอร้องให้มีการส่งตัวพวกเขาไปสู่ประเทศที่สาม
.
ถ้าไม่มีการรัฐประหารในปี 2557 ชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิต น่าจะได้มีชีวิตอยู่ในประเทศเสรีไปแล้ว
.
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย
.
สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาก็เช่นกัน การรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นำมาสู่การปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนกว่า 1,719 ชีวิต และการจับกุมคุมขังประชาชนกว่า 9,984 คน และยังนำมาสู่คลื่นผู้ลี้ภัยที่พยายามเข้ามาประเทศไทย ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธที่จะโอบรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้
.
ผู้ลี้ภัยนับหมื่นๆ คน ที่มีแต่คนแก่ แม่ลูกอ่อน คนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศ ต้องคอยอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตามแนวพรมแดน ริมฝั่งน้ำและป่าเขา ให้ใกล้กับฝั่งไทยมากที่สุด พวกเขาต้องการเพียงสันติภาพ พวกเขาต้องหนีมาเพื่อความปลอดภัย พวกเขาอยากกลับบ้านแต่ก็กลับไม่ได้ พวกเขาต้องการเพียงที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานที่พวกเขาทุกคนสมควรจะได้รับตามกติกาสากล
.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา คือพวกเขาต้องอยู่ในเพิงพักที่ทำขึ้นเองอย่างตามมีตามเกิด ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก ขาดแคลนทั้งอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรค พวกเขาเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือจากนานาชาติ เพราะรัฐบาลไทยปฏิเสธไม่ให้องค์กรระหว่างประเทศเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาได้จากฝั่งไทย
.
ความเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่การให้สัมภาษณ์ของ มิน อ่อง หล่ายน์ กับสำนักข่าว Nikkei Asia เราทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ มิน อ่อง หล่ายน์ มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกันมาอย่างยาวนานแล้ว และสิ่งนี้ก็ได้รับการยืนยันในคำพูดของ มิน อ่อง หล่ายน์ ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเขา “จะก่อรัฐประหารได้ก็ต่อเมื่อมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเท่านั้น”
.
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตย
.
หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี 2563 ประชาชนคนไทยจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะบรรดาคนหนุ่มสาว ได้ลุกขึ้นประท้วงอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ เพื่อทวงอนาคตของพวกเขาที่ถูกขโมยไป พวกเขาได้สร้างข้อถกเถียงสำคัญในสังคมขึ้นมาว่าด้วยการปฏิรูปสถาบันสำคัญของประเทศ รวมทั้งสถาบันกษัตริย์ด้วย นับเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ที่ประชาชนคนไทยได้ประกาศอย่างเปิดเผยต่อที่สาธารณะ เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์มีการปฏิรูป
.
แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ซึ่งไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในทางประชาธิปไตย และอาศัยเพียงการแอบอ้างความจงรักภักดีและการปกป้องสถาบันกษัตริย์มาเป็นความชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียวของเขา กลับใช้อำนาจเพื่อกดปราบการเรียกร้องของประชาชน ดำเนินคดีกับประชาชนกว่า 2,017 คน ผู้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงคนหนุ่มสาว และในจำนวนนี้ มีถึง 183 คนรวมทั้งตัวผมด้วย ที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ จนบางคนต้องลี้ภัย และมีหลายคนที่ยังถูกคุมขังอยู่ในคุกจนถึงเวลานี้
.
สิ่งเหล่านี้คือผลจากความล้มเหลวของเราในการปกป้องประชาธิปไตย และเพียงพอแล้วที่จะตอบคำถามว่าเหตุใดเราจึงต้องปกป้องประชาธิปไตยร่วมกัน
.
หากเราปกป้องประชาธิปไตยได้เป็นผลสำเร็จ หากเราหยุดยั้งการรัฐประหารในปี 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้สำเร็จ ชาวอุยกูร์กว่า 100 ชีวิต คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเสรีแล้ว
.
การรัฐประหารในเมียนมาคงจะไม่เกิดขึ้น คงจะไม่มีการสูญเสียของประชาชนกว่า 1,700 ชีวิต และต่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นมา ผู้ลี้ภัยนับหมื่นนับแสนคนก็จะได้รับความช่วยเหลือ
.
และหากเราสามารถหยุดยั้งการรัฐประหารในปี 2557 ได้สำเร็จ วันนี้ก็คงไม่ต้องมีใครถูกจองจำอยู่ในคุก เพียงเพราะการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และการเรียกร้องอนาคตที่ดีกว่านี้ของประเทศ
.
เมื่อเราสูญเสียประชาธิปไตยไป มันใช้เวลานานในการกอบกู้ แต่ปีหน้าเราจะมีเลือกตั้ง นี่คือโอกาสสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง โอกาสสำคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยอย่างสันติ ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งธรรมดา ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาลจากพรรคหนึ่งไปสู่อีกพรรคหนึ่ง แต่คือการจบระบอบประยุทธ์ ทำให้คนรุ่นใหม่ๆ เขื่ออีกครั้งว่าประเทศนี้เป็นของเราทุกคน
.
โปรดยืนเคียงข้างเราในการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อเสรีภาพ ความเสมอภาค และความสมานฉันท์ของโลกสากล
.
ขอบคุณครับ