นั่นเป็นวินิจฉัยของ ไกษร ไชยวงษ์ ผู้พิพากษาศาลอาญา ตัดสินให้จำคุก ‘นรินทร์’ เป็นเวลา ๓ ปี ระวางโทษขั้นต่ำสุดซึ่งกฎหมายมาตรานี้กำหนด หากแต่ “การไปร้องทุกข์ต่อ ตร.สน.ชนะสงครามของนรินทร์ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
มีเหตุให้บรรเทาโทษ ลดโทษจำคุกให้ ๑ ใน ๓” คงเหลือจำคุก ๒ ปี อย่างไรก็ดีทนายได้ยื่นคำร้องขอประกันปล่อยตัวผู้ต้องหาออกมาอุทธรณ์คดีนอกคุก ศาลอนุญาตด้วยวงเงินประกันตัว ๑ แสนบาท @iLawFX รายงานว่านรินทร์ได้รับการปล่อยตัวแล้ววันนี้
ส่วน ม.๑๑๒ อีกคดี ศาลอาญากรุงเทพใต้ ไม่อนุญาตให้ รวิสรา เอกสกุล บัณฑิตอักษรศาสตร์ จากจุฬาฯ ร้องขอเดินทางไปรับทุนเพื่อเรียนต่อในชั้นปริญญาโทที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี นั้นนอกจากข้ออ้างที่ว่าเงื่อนไขการประกันตัวห้ามออกนอกประเทศแล้ว
ศาลยังบอกว่าการที่จำเลยจะให้บิดาเป็นผู้กำกับดูแล นั่นก็ยากที่จะปฏิบัติได้ เพราะจำเลยอยู่ต่างประเทศ บิดาอยู่ในประเทศไทย “จึงไม่เป็นการหนักแน่นเพียงพอ ที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑๑ จะปฏิบัติตามเงื่อนไขโดยเคร่งครัด” ได้ จึงให้ยกคำร้อง
เจ้าตัว neenongdearna @neenongdearna ทวี้ตว่า “ยังไม่หมดหวัง จะหาเอกสาร หาคนมายืนยัน หาทุกอย่างมาอุดช่องโหว่ทุกช่องที่ศาลให้มา จะขอจนกว่าจะไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้ไป” และ “ไม่ต้องห่วงนะทุกคน ตอนนี้กำลังใจเต็มร้อย”
ที่น่าห่วงกลับเป็นอีกเรื่อง ที่มีผลกระทบต่อประชากรในวงกว้าง บรรดาพลเมืองวัยทอง สว.ทั้งหลายซึ่งนับวันจะต้องปากกัดตีนถีบกันยิ่งขึ้น ไหนจะสวัสดิการไม่ทั่วถึง แล้วยังโรคระบาดร้ายจากเชื้อไวรัสโควิด เข้าปีที่สามแล้วเจอเชื้อกลายพันธุ์ยังอาละวาด
พอวันนี้ ขณะที่จำนวนติดเพิ่มจากการตรวจพีซีอาร์ ๒๓,๘๓๔ ราย กับจากเอทีเค ๓๑,๕๗๑ รายยอดรวมต่ำกว่าเมื่อวานเล็กน้อย (ราว ๑ หมื่นราย) แต่ตัวเลขคนตายเพิ่มจาก ๔๙ รายมาเป็น ๕๔ ราย ลักษณะไล่เรียงและสลับอย่างนี้โดยที่ไม่มีแนวโน้มลดลง
คาดการณ์ว่ายอดผู้ติดเชื้อเพิ่มแต่ละวันจะขึ้นไปสูงสุดช่วงกลางเดือนเมษายน แล้วจากนั้นจะเริ่มลดลง แต่บอกไม่ได้ว่าลดเท่าไร “หากยังคงมาตรการที่ปฏิบัติอยู่จะยังคงอยู่ในเส้นสีเหลือง แต่ถ้ามีการผ่อนคลายมากขึ้น หรือย่อหย่อนมาตรการส่วนบุคคล อาจขยับขึ้นไปเป็นเส้นสีแดงได้”
พญ.สุมนีรับว่า “ช่องทางสายด่วน ๑๓๓๐ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ช่วงนี้มีประชาชนโทรเข้ามาเป็นจำนวนมาก” ทางการพยายามเพิ่มกำลังคนบริการรับสาย โดยขอให้ทหารและจิตอาสาภาคประชาสังคมไปช่วยด้วย
ข้อควรคำนึงสำหรับประชาชนทั่วไป แม้นว่าเชื้อกลายพันธุ์ ‘ออมิครอน’ จะเป็นพิษภัยไม่แรงเท่าเชื้อเดลต้าที่ผ่านมา หากผู้ติดเชื้อสูงอายุ และ/หรือมีโรคประจำตัว (โรคเรื้อรัง ๗ ประเภท) ละก็ เป็นกลุ่มเสี่ยงเสียชีวิตกว่า ๙๖% รองลงไปเป็นผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีน ๖๗%
ฉะนี้ ในเมื่อผลการวิจัยในประเทศตะวันตก ที่จำนวนการติดโควิดและเสียชีวิตกำลังลดลงอย่างน่าชื่นใจ สวนทางกับสถานการณ์ในไทยที่กำลังเป็นขาขึ้นของโควิดอีกรอบ พบว่าการได้ฉีดวัคซีนเข็มสาม ‘บู๊สเตอร์’ จะช่วยให้ร่างกายสู้กับโควิดได้ดีที่สุด
แต่ ณ เวลานี้ จำนวนผู้สูงอายุที่ได้ฉีดวัคซีนเข็มสามมีเพียง ๓๐.๘% การ “ขอความร่วมมือให้มารับวัคซีนเข็มกระตุ้น” ดัง พญ.สุมนีเรียกร้อง “ก่อนที่จะถึงเทศกาลสงกรานต์ขอให้ลูกหลานเชิญชวนผู้สูงอายุให้มารับวัคซีน” นั้นจะได้ผลสูงสุดต่อเมื่อ
การเข้ารับวัคซีนดังกล่าว สะดวกและเข้าถึงได้ง่ายๆ ชนิดขับรถผ่านแล้วหักพวงมาลัยวกเข้าไป ใช้เวลาทั้งสิ้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสร็จสรรพ อย่างที่เขาทำกันอยู่ในหลายๆ เมืองในสหรัฐละก็ หลังสงกรานต์จำนวนติดเชื้อและตาย จะลดได้ทันตาเห็น
(https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_526843POTU, https://twitter.com/iLawFX/status/1499556690915565568 และ https://twitter.com/TLHR2014/status/1499578750446432256)
