เดี๋ยว เดี๋ยว ‘แซนด์บ็อกซ์’ นี่มันโครงการที่เรียกได้ว่าล้มเหลวนะ หรืออย่างดีก็ ยังไม่ประสบผลสำเร็จน่ะ ไหงเอามาคุยซะแล้ว “หลายประเทศก็จะเอาไปทำ นี่เป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย” ประยุทธ์ไปพูดที่ชลบุรี รายการตรวจเยี่ยม ‘มิตซูบิชิ’
นี่หละปัญหาของประเทศกึ่งเผด็จการ ‘Autocracy’ ผู้นำพูดอะไรตรวจสอบไม่ได้ เพราะนักข่าวถูกบีบคั้นกดดันจนไม่สามารถซอกแซกล้วงหาความจริงมาเสนอ “หลายประเทศที่มาพบผมก็พร้อมอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตราการเปิดประเทศ ภูเก็ต sandbox เขาก็ตามอยู่ หลายประเทศก็จะเอาไปทำ” ฮ้า จริงนะ เห็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เองว่าไทยเป็นประเทศที่แก้ปัญหาโควิดอยู่ในอันดับท้ายๆ ปล่อยให้มีการระบาดระลอกสี่ ป่านนี้ยังไม่ฟื้น
สังเกตุตัวเลขการติดเพิ่มและการตาย จากเหตุระบาดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ช่วง ๑ เดือนที่ผ่านมา มีลดบ้างแต่ไม่มากพอที่จะบอกว่ารอดปากเหยี่ยวแล้ว เฉพาะสามสี่วันมานี่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มต่อวันอยู่ที่หมื่นสามหมื่นสี่ จำนวนตายไม่ถึงสองร้อย ก็ไม่น้อยกว่าร้อยกว่าๆ
“วันหน้าคิดว่าระบบสุขภาพเราดีที่สุดในโลกแล้วตอนนี้ เพราะเราทำหลายอย่างที่หลายประเทศยังไม่ได้ทำ” ราคาคุยล้วนๆ เลยละตู่ เราอาจทำหลายสิ่งที่ประเทศอื่นไม่ได้ทำ อย่างเช่นฉีดวัคซีนไขว้ แต่เอาของจีนเป็นหลักนั่นประสิทธิภาพไม่กระเตื้อง ใครจะเอาอย่าง
ตอนนี้เริ่มโหมกระบวนโฆษณา (ชวนเชื่อ) เพราะไม่แต่ ‘ผีทักษิณ’ กลับมาหลอนเท่านั้น เจอตัวจริงเสียงจริง ‘พี่โทนี่’ ทางไซเบอร์ชักบ่อย ก็เลยเอางานถนัด บริหารด้วยปาก คุยอวดอ้าง ยกตัว อย่างวันนี้ให้โฆษกออกมาแถลงภาพเศรษฐกิจ
“ครึ่งปีแรกขยายตัวที่ร้อยละ ๒.๐ และในไตรมาสที่ ๒ มีการขยายตัวถึงร้อยละ ๗.๕ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในเอเชีย” ธนกร วังบุญคงชนะ อ้างด้วยว่ามูลค่าการลงทุนโดยตรง ‘FDI’ ขยายตัวสูงถึง ๔๓.๘% การว่างงานก็น้อยลงจาก ๒.๑ มาเป็น ๑.๙ ขณะนี้
“คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๖๔ สามารถขยายตัวเป็นบวกได้” เนี่ยนะ แค่คาดจะหลุดจากติดลบคุยใหญ่ แล้วที่ทำปู้ยี่ปู้ยำมาตลอดเจ็ดปีกว่าจนมาถึงจุดนี้ ละก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แหม ประยุทธ์พูดเอง “พร้อมเดินหน้าพลิกโฉมประเทศ”
ซ้ำเล่นบทลิเก “ฝากรักษาหัวใจของผมดวงนี้ไว้ด้วย” อย่างนี้ถึงได้โดน ‘เพชร’ กรุณพล เทียนสุวรรณ ย้อนให้แสบไปว่า “ปากดี แต่ไม่เคยมีวิธีปฏิบัติ” ทำเป็นอย่างเดียวคือ กู้ กู้ กู้ นี่ผู้ว่าฯ แบ๊งค์ชาติออกมาแบะท่ากวักมือเรียกแล้วละ
“ผลกระทบจากโควิด-๑๙ ได้สร้าง ‘หลุมรายได้’ ขนาดใหญ่ ๒.๖ ล้านล้านบาทในช่วงปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เม็ดเงินของภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอ” หายไปเกือบ ๓ ล้านล้านภายใต้แก๊ง ๓ ป. “จำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลัง”
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ บอกว่านั่นคือ “แผลเป็นทางเศรษฐกิจ” ของชาติ ซึ่ง “จะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังโควิด” จึงแนะให้ เติมเงินเข้าไปในระบบ “อย่างน้อย ๑ ล้านล้านบาท” จะเอาจากไหนถ้าไม่กู้
แต่การกู้เงินอีก ๑ ล้านล้าน นี่เท่ากับ ๗% ของจีดีพี อันจะทำให้หนี้สาธารณะอยู่ในอัตรา ๗๐% มันผิดระเบียบการคลังที่ตั้งไว้ ห้ามกู้เกิน ๖๐% ของจีดีพี จึงจะคงสถานะมั่นคงทางการเงิน แต่ก็นั่นแหละ ผู้บริหารประเทศเป็น autocrat ทำอะไรไม่คิดกว้างๆ ไกลๆ
กระทรวงคลังช่วยหาข้อสรุป ว่าต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะไปที่ ๗๐% ต่อจีดีพี “จากปัจจุบันอยู่ที่ ๖๐% และการกู้เงินใกล้เต็มเพดานแล้ว ดังนั้นหากจะขยายแค่ ๖๕% ก็อาจจะต่ำเกินไป...คลังไม่ได้มีปัญหาที่จะขยายเพดานหนี้”
และถ้าจะขยายต่อไปเป็น ๗๕% ก็ทำได้ ต้องชงให้ ‘คณะกรรมการวินัยการเงินการคลังฯ’ รับหน้าอนุมัติ สร้างหนี้สาธารณะเพิ่มให้ลูกหลานไปตามใช้หนี้กัน “ปัจจุบันยังมีช่องว่างให้ขยายเพดานได้อีก ถ้าเทียบกับต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา”
‘เตี้ยอุ้มค่อม’ เอาไปเปรียบเทียบกับญี่ปุ่น-อเมริกา ประเทศพัฒนาแล้ว ที่มีการบริหารจัดการด้วยฝีมือ และตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเข้มแข็งมาก แม้กระทั่งในสถานการณ์โควิด-๑๙ มันเทียบไม่ได้เลยกับประเทศที่ใกล้พัง
แล้วการขยายเพดานหนี้นั้นต้องมีแผนหารายได้เพิ่ม มาชดเชยหนี้ใหม่ด้วย ไม่มีทางอื่นดีไปกว่าการขึ้นภาษี สมหมาย ภาษี อดีต รมว.คลังในรัฐบาล คสช.บอกให้ “เข้าไปดูในเรื่องภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)”
เขาว่า “อย่างช้าในปี ๒๕๖๕ ควรจะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก ๒%” เป็น ๙% ไหมล่ะ ในที่สุดก็มาถึงถอนขนห่าน เมื่อภาษี VAT ซึ่งกระทบต่อประชากรถ้วนหน้า ไม่ว่ายากดีมีจน ทุกคนต้องจ่ายในการซื้อหาของจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน
(https://www.prachachat.net/finance/news-761355, https://www.prachachat.net/politics/news-764050 และ https://www.dailynews.co.th/news/281232/)