เขาว่าสถานการณ์นั้นสร้างวีรบุรุษ
แต่สถานะวิกฤตโควิด-๑๙ กลับทำให้เกิด ‘demagogues’ ทั้งผู้นำ ‘เหลิงตัว’ และพวกลิ่วล้อ
‘สอพลอ’
จากสถานการณ์เมื่อวาน ตัวเลขผู้ติดเชื้อเมื่อ
๖ เมษายน เพิ่มอีก ๕๑ ราย รวมทั้งสิ้น ๒,๒๒๐ ราย รักษาหายไปแล้วเกือบ ๘๐๐ ราย
แต่เสียชีวิตเพิ่มเป็น ๒๖ ราย หากดูตามเส้นกร๊าฟจำนวนที่ตรวจจะเห็นว่า
ในหมู่ประเทศอาเซียนไทยยังแค่กลางๆ
แนวโน้ม ‘trajectory’ ยังลูกผีลูกคน พุ่งขึ้นไม่มากแต่ก็ยังไม่เข้าสู่แนวราบ เนื่องเพราะการตรวจทำได้ไม่มากอย่างมาเลเซีย
ซึ่งตรวจมากกว่าก็พบมากกว่า แต่จำนวนผู้เสียชีวิตฟิลิปปินส์แซงมาเลย์ ที่ ๑๔๔
ศพต่อ ๕๗ ทำให้ไทยติดอันดับสามเรื่องคนตาย
นี่เองเป็นเหตุให้รัฐบาลซึ่งเตรียมตัวยกระดับมาตรการไปสู่ขั้นหนัก
หากตัวเลขผู้ติดเชื้อยังเพิ่มไม่หยุดในอัตราเร่งหลังจากพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จกลับพระราชฐานสัญจรของพระองค์ในเยอรมนี
เมื่อเสร็จพระราชพิธีบวงสรวงปฐมกษัตริย์ในกรุงเทพฯ
หนังสือสั่งการของปลัดกระทรวงมหาดไทยถึงผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานฝ่ายปกครองให้
‘เตรียมการ’ หากจะมีการสั่งห้ามผู้คนออกจากบ้าน
หรือ เคอร์ฟิว ๒๔ ชั่วโมงเกิดขึ้น
ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายเข้าไปยังศูนย์โควิด-๑๙ หรือ ศบค.
จนโฆษกศูนย์ฯ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน
ต้องถอดหน้ากากอนามัยหลังจากให้รายละเอียดสถานการณ์เสร็จแล้ว (เพื่อจะให้ผู้ชมเห็นวิธีจีบปากว่าซีเรียสละมัง)
เพื่อจะโต้ว่ายังไม่มีการเคอร์ฟิว ๒๔ ชั่วโมง แต่เป็นเพียงการสื่อสารกับฝ่ายปกครองเท่านั้น
แล้วก็เลยไปถึงโครงการเยียวยา #เราไม่ทิ้งกัน ด้วยว่า “ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนมากถึง ๒๔.๒ ล้านคน ซึ่งขอบคุณประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่เยอะมาก
จากที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ครั้งแรกเพียง ๓ ล้าน”
เกรงว่า “ถ้าต้องจัดสรรงบประมาณมาด้านนี้ด้านเดียว
การรักษาพยาบาลและด้านอื่นๆ คงมีปัญหาแน่นอน”
ซึ่งที่จริงก็เป็นปัญหาธรรมดาของผู้บริหารประเทศทั้งหลาย ต้องหาทางจัดการให้ลุล่วงไปให้ได้ทั้งนั้น
แต่ทั่นโฆษกฯ ก็เลือกที่จะแสดงตนดั่งผู้ใช้อำนาจฉุกเฉิน
นอกจากจะตำหนิว่าประชาชนว่า ‘ตื่นตระหนก’ ที่ตีความการ “เตรียมการเพื่อยกระดับ”
ว่าเป็นการเตรียมประกาศเคอร์ฟิว “พออ่านเอกสารของทางราชการไม่ออกก็เป็นตุเป็นตะขึ้นมา
มีผลกระทบเกิดขึ้น” ขู่ให้ระวัง “ช่วงนี้อยู่ในระหว่างการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ฉะนั้นการแชร์ข้อมูลไม่เป็นจริงนั้นมีโทษ”
แล้วยังบอกกับผู้ที่ไปลงทะเบียนขอรับการเยียวยา
๕ พันบาทเป็นเวลา ๓ เดือน ให้ไปดูคุณสมบัติของตนกันอีกที ถ้า “พบว่าตัวเองลงไปแล้วไม่ใช่
ไปถอนออกได้เลยครับ เพราะว่าถ้าไม่ใช่ ด้านหนึ่งเขามี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
การให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จมีโทษด้วย”
ทั่นโฆษกฯ ยกตัวอย่างพลเมืองดี ๓ แสนคนที่ “แสดงความรับผิดชอบเข้าไปยกเลิกหลังทราบว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติ...ซึ่งจะช่วยให้ไม่เป็นภาระงานของส่วนต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง” ดังนั้น “ถ้าท่านเป็นคนลง ท่านก็เป็นคนเอาออกซะ
ถ้าเอาออกไปซักเป็นล้าน
ภาระงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังก็จะได้ลดน้อยลง
การไปช่วยเหลือเยียวยากับคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจะได้เร็วขึ้น” พูดตรงๆ อย่างนี้แทนที่จะดูดี
กลับทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกถูกข่มขู่
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่รู้ตัวดี
ว่าตนมีคุณสมบัติผ่านหรือไม่ การแห่ไปลงทะเบียนยี่สิบกว่าล้านคนก็เพียง ‘ลองดู’ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็แล้วไปเป็นธรรมดา เจ้าหน้าที่กระทรวงคลังหรือเจ้าหน้าที่ใดๆ
ในระบบต้องจัดการให้โครงการบรรลุ จะมากจะน้อยก็อยู่ในกรอบของ ‘หน้าที่’ นั้น
จนป่านนี้น่าจะเป็นที่รู้แจ้งกันทั้งประเทศแล้วตั้งแต่คณะรัฐมนตรี
ซึ่งมีรัฐมนตรีบางคนทำคลิปอวด ‘ว่ายน้ำฟิตกายสู้โควิด’ ไปถึงโฆษกหน้ามน ไม่ว่าจะโปรเฟสเซ่อหญิงไม่ค่อยรู้สีสาหรือด็อกเต้อชายรู้มากมาย
รู้แก่ใจกันดีว่านี่ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดา
หมดเวลาสร้างภาพ อวดพจนะได้แล้ว
ประชาชนต้องการข้อมูลที่เป็นจริงและทันต่อเหตุการณ์
ไม่ใช่คำสอนคำสั่งที่มักจะไล่หลังสถานการณ์อยู่ร่ำไป